ทำทานปนโกรธจะเป็นเช่น “นางปัญจปาปา” ผู้หญิงขี้เหร่แต่ได้สามีดี

0

ทำทานปนโกรธจะเป็นเช่น “นางปัญจปาปา” ผู้หญิงขี้เหร่แต่ได้สามีดี

ในอดีตกาลนานมาแล้ว ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลก เป็นช่วงว่างจากพระพุทธศาสนา แต่ยุคนั้นยังมีพระปัจเจกพุทธเจ้าอุบัติขึ้น

ขณะนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งกุฏิที่ท่านอาศัยมีรูโหว่ท่านจึงออกแสวงหาดินเหนียวไปอุดรูกุฏิของท่าน เมื่อท่านผ่านมาเห็นนางกุมารีนางหนึ่งกำลังขยำดินเหนียวอยู่ ท่านจึงถือบาตรเดินตรงไปหานางกุมารีนั้นเพื่อขอบิณฑบาตดินเหนียวใส่บาตรมาสักก้อน

นางกุมารีเห็นดังนั้นก็โกรธคิดว่า “สมณะพวกนี้ตอนเช้าเที่ยวเดินขอข้าวชาวบ้านชาวเมืองกินยังไม่พอ ตัวเรานี้สู้อุตส่าห์ไปขนดินเหนียวหอบหิ้วมานั่งขยำ กว่าจะได้ที่ก็ต้องขยำแทบมืองอเท้างอ สมณะนี้กลับมายืนเฝ้าจะขอดินที่เราขยำดีแล้วไปอีก ช่างไม่รู้จักไปหาเองเอาเสียเลย”

คิดดังนี้แล้วก็ค้อนควัก เชิดจมูก ปากบ่นอุบอิบพึมพัม เพื่อจะให้พระปัจเจกพุทธเจ้าล่วงรู้อาการว่านางไม่เต็มใจจะให้ จะได้ไปไปเสีย ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีความเมตตา อยากจะโปรดนางกุมารีให้ได้ทำบุญ จึงแสร้งทำเป็นไม่ทราบอาการของนาง ยืนนิ่งเปิดบาตรรอรับการบริจาคของนางต่อไป นางกุมารีเห็นดังนั้นก็คิดว่า “ชะรอยสมณะองค์นี้ถ้าไม่ได้อะไรคงจะไม่ไปแน่” นางจึงโกรธกระฟัดกระเฟียดปั้นดินได้ก้อนหนึ่งก็โยนใส่บาตรโดยไม่เคารพ

“เอ้า เอาไป”

พระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อได้ดินเหนียวแล้วจึงให้ศีลให้พรแก่นาง แล้วนำดินเหนียวไปฉาบทาอุดช่องโหว่ที่ฝากุฎิ เพื่อกันลมกันฝนดังเดิม

กาลต่อมา เมื่อนางสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในตระกูลยากจน แถมรูปร่างหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่สุดพรรณนา มีอวัยวะทั้ง 5 ประการ คือ มือ เท้า ปาก ตา และ จมูกบิดเบี้ยวน่าเกลียด ชาวบ้านจึงเรียกนางว่า ปัญจปาปา (ขี้เหร่ห้าแห่ง)

แต่ด้วยอานิสงส์การถวายดินเหนียวก้อนนั้นแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีผลอันยิ่งใหญ่ คือ ทำให้ร่างกายผิวพรรณของนางนั้นมีความนุ่มเนียนเรียบลื่นน่าสัมผัสเปรียบประดุจสัมผัสอันเป็นทิพย์ของนางฟ้า ใครถูกต้องนางจะติดใจไม่สามารถตัดใจจากนางได้

ด้วยผลบุญที่นางได้ถวายดินเหนียว ทำให้นางได้เป็นมเหสีของพระราชาถึง 2 พระองค์ คือ พระเจ้าพกะ และ พระเจ้าทีปาวาริกะ การที่นางได้เป็นมเหสีของพระราชาองค์แรกเนื่องจากพระราชาออกล่าสัตว์กำลังจะกลับเข้าเมืองจึงแวะพักที่หมู่บ้านนั้น ยืนทอดพระเนตรดูเด็กๆ เล่นซ่อนหากันอยู่ ปัญจปาปาซึ่งปิดตาควานหาเพื่อนๆ ที่หลบซ่อนคว้าพระกรพระราชาเข้า

จึงร้องว่า “จับตัวได้แล้ว” พอเปิดตารู้อะไรเป็นอะไร จึงรีบวิ่งหนีไป

ส่วนพระราชาผู้ถูกจับพระกร ทรงรู้สึกซาบซ่านทั่วทั้งสรรพางค์กาย ทรงประหลาดพระทัยมากว่าหญิงคนนี้ช่างมีสัมผัสอันเป็นทิพย์ทำให้เกิดความหลงใหลอะไรปานนั้น จึงทรงถามไถ่พวกเด็กๆ ว่านางเป็นใคร อยู่เรือนไหน?

เมื่อทรงทราบ จึงเสด็จไปขอลูกสาวพ่อแม่ของนางปัญจปาปา พ่อแม่ของนางนึกไม่ถึงว่าลูกสาวขี้ริ้วขี้เหร่ของตนจะเป็นที่สนใจของชายหนุ่มรุ่นใหญ่ท่าทางภูมิฐานเช่นนี้ จึงตกปากรับคำอย่างง่ายดาย

พระราชาอยู่กับนางเวลากลางคืนรุ่งเช้าก็หายไปอ้างว่าไปทำงานข้างนอก เย็นก็กลับ เหตุการณ์ดำเนินไปสักระยะหนึ่ง ทรงคิดจะหาทางนำนางเข้าไปยังพระราชวัง แต่เกรงจะได้รับการคัดค้านจากเหล่าเสนาอำมาตย์ เนื่องจากความขี้เหร่ของนางจะนำมาแต่งตั้งเป็นมเหสี ใครรู้เข้าก็คงจะหัวเราะเยาะในใจ

คืนวันหนึ่งพระราชาพระราชทานปิ่นมณีให้นาง เช้ามาก็หายไปตามเดิม พอตอนกลางวันมีตำรวจจากพระราชสำนักมาค้นหาสิ่งของมีค่าโดยอ้างว่าโจรขโมยมาจากพระราชวัง ค้นไปค้นมาไปพบปิ่นมณีเข้า จึงจับนางพร้อมพ่อแม่ไปชำระความ

นางกล่าวว่า นางมิได้ขโมย ปิ่นมณีนี้สามีให้มา เมื่อถามว่าสามีคือใคร อยู่ที่ไหน นางบอกแต่ว่าไม่ทราบ ทราบแต่ว่าเขามากลางคืน เช้าก็หายไปแต่ถ้าได้จับแขนเขาจะรู้ทันทีว่าเป็นใคร

จากนั้นก็มีการพิสูจน์กันขึ้น คือ ให้ขึงม่าน แล้วนำชายทั้งหนุ่มและแก่มายื่นแขนให้นางจับอยู่นอกม่าน ผู้ที่ถูกนางปัญจปาปาจับก็ซาบซ่านทั้งทรวงไปตามๆ กัน แต่นางก็บอกว่าไม่ใช่สามีนางสักคน

พระราชาทรงคิดในพระทัยว่า “หรือเป็นเรา”

ว่าแล้วก็ยื่นพระหัตถ์ผ่านม่านให้นางจับ

ทันใดนั้นนางก็ร้องว่า “ใช่แล้วคนนี้คือผัวของข้า!” ความจริงก็เลยปรากฏขึ้น

นางถูกนำตัวเข้าวัง ได้รับอภิเษกเป็นมเหสีลำดับท้ายๆแต่เป็นที่โปรดปรานมาก โปรดปรานจนกระทั่ง พระราชาไม่เหลียวแลมเหสีอื่นเลย

ต่อมามีผู้อิจฉาใส่ร้ายนางว่าที่นางอัปลักษณ์ดังนี้คงเป็นยักษ์เป็นมารปลอมตัวมา พระราชาเชื่อจึงจับนางใส่เรือลอยน้ำไป นางลอยไปกับเรือ

จนไปเจอพระราชาองค์ที่ 2 กำลังประพาสท่องเที่ยว นางจึงร้องบอกว่านางคือมเหสีของพระเจ้าพกะ แล้วนางจึงออกอุบายให้พระราชาองค์ที่ 2 คือพระเจ้าทีปาวาริกะฉุดนางขึ้นจากเรือ

เมื่อมือสัมผัสมือพระเจ้าทีปาวาริกะก็เกิดหลงใหลในสัมผัสของนาง พานางไปแต่งตั้งเป็นมเหสี ฝ่ายพระเจ้าพกะหวนคิดถึงนางปัญจปาปาจนไม่เป็นอันกินอันนอน ต่อมาได้ข่าวว่านางมาอยู่กับพระเจ้าทีปาวาริกะ จึงยกกองทัพมาหวังจะชิงนางคืน ภายหลังได้ตกลงกันว่าจะแบ่งเวลาที่จะอยู่ร่วมกับนางปัญจปาปา นั่นคือนางปัญจปาปาจะอยู่กับพระราชาองค์ที่ 1 ช่วงหนึ่ง แล้วจึงย้ายไปอยู่กับพระราชาองค์ที่ 2 อีกช่วงหนึ่งเป็นเวลาเท่าๆ กันเหตุการณ์จึงสงบลง นางปัญจปาปาจึงเป็นมเหสีของพระราชา 2 เมืองได้ด้วยประการฉะนี้

“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สิ่งไหนที่ทำดีก็ให้ผลดี สิ่งไหนที่ทำไม่ดี ก็ให้ผลไม่ดี ฉะนั้นเวลาทำความดี ควรทำด้วยใจที่ยินดีทั้งก่อนให้ ขณะที่ให้ และหลังจากให้ เราจะได้รับบุญที่บริบูรณ์เต็มที่ทุกประการ”

โปรดแชร์เป็นธรรมทานให้ลูกๆหลานๆได้อ่าน

ขอบคุณข้อมูลจาก www.dannipparn.com

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่