แค่ได้อ่าน top comment ก็คุ้มแระ มันจริงมากๆเลย
สังคมฝรั่งเค้าสอนกันยังไงครับ ทำไมดูเหมือนเค้ามีความเป็นตัวของตัวเองสูง มั่นใจในตัวเอง และมีอิสระในการแสดงความคิด
สงสัยครับ สงสัยจริงๆ
ปล.ผมไม่คิดว่ากระทู้ผม จะมีคนมาตอบ และ กดโหวตเยอะขนาดนี้ครับ
top comment ความเห็นที่ 22 จากคุณ kiria chalee
เริ่มมาแต่เด็กค่ะ เริ่มมาตั้งแต่ยังพูดไม่ได้ เขาจะให้เด็กแสดงความคิด ความต้องการ ความรู้สึกออกมาตั้งแต่พอรู้ความ ถึงยังพูดไม่ได้ก็สอนภาษาเด็ก (ภาษามือ) ให้บอกความต้องการ เช่นหิว, เอาอีก, พอ, ง่วง เป็นต้น พอพูดได้ก็ต้องพูด เด็กทุกชาติงอแง โยเยได้หมด แต่ของเขาทำแบบนั้นต้องมีเหตุผล “ลูกเหนื่อยเหรอ หรือหิว ลูกโมโหใช่ไหม ลูกไม่ชอบที่พี่แกล้งใช่ไหม ลูกต้องพูด ..use your words… แม่จะได้จัดการให้ถูก อย่างอแงแบบนี้เพราะไม่มีใครเข้าใจลูก แล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้”
แบบนี้เด็กเขาจะฝึกแสดงความรู้สึกออกมาเป็นคำพูด พ่อแม่จึงค่อยบอกว่าหากเขารู้สึกแบบนั้นจะต้องทำยังไง
แต่เด็กไทย พ่อแม่มักพูดว่า “เป็นอะไรลูก โอ๋ๆ ไม่งอแงนะ นี่ขนม นี่ของเล่น… อ้ะ มานอนๆ เดี๋ยวแม่ชงนมให้” บางทีมันไม่ตรงประเด็นที่เขาต้องการ แต่พอเขาได้รับความสนใจ แล้วได้ขนม ของเล่น เขาจะทำพฤติกรรมเดิมๆ อีก … แบบนี้ไม่รู้จักแสดงความรู้สึก ความต้องการเป็นคำพูด แสดงออกทางอารมณ์ไม่เหมาะสม
หรือที่แย่ พ่อแม่บางคนจะพูดว่า “ร้องงอแงอะไร จะเอาอะไรอีก กินก็กินแล้ว ชักจะเกินไปแล้วนะเรา เห็นไหมว่าแม่กำลังยุ่ง แล้วของเล่นนี่แย่งน้องจังนะ เดี๋ยวจะริบไม่ให้เล่นทั้งคู่” แบบนี้คือลูกจะเก็บความรู้สึก เพราะพ่อแม่ตอบสนองเขาด้วยทางลบ
แล้วเขาจะเลี้ยงเด็กในฐานะที่เป็นบุคคลไม่ใช่แค่เด็ก พ่อแม่จะไปไหน จะฝากลูกไว้กับปู่ย่าก็บอกตรงๆ ไปทำอะไร เมื่อไหร่กลับ แต่คนไทยหลายคนชอบโกหกว่าไปทำงานบ้าง ไปธุระแป๊บนึงบ้าง บางคนหนีไปเลยตอนลูกเผลอ พอเด็กร้องหา ปู่ย่าก็บอก “เดี๋ยวก็มาลูก แป๊บเดียว”
ไปกินอะไรนอกบ้าน เด็กๆ จะสั่งอาหารเอง พออยากรู้เกี่ยวกับเมนูก็ถามพนักงานเอง ไม่ใช่กระตุกเสื้อพ่อแม่ยิกๆๆ หรือร้ายกว่านั้นพ่อแม่สั่งให้เสร็จ แถมตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วป้อนด้วย
พ่อแม่จะหย่า จะแต่งงานใหม่ จะคบใคร จะลาออก จะย้ายงาน ก็ต้องคุยกับลูก ลูกอาละวาด ปั้นปึ่งก็ต้องคุย ถึงขั้นปรึกษานักจิตวิทยา
พ่อแม่คนไทย ถ้าลูกอาละวาด ก็มักจะพูด” ฉันเป็นพ่อ/แม่ แกนะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเด็ก เรามีหน้าที่เรียนก็เรียนไป เรื่องนี้เรื่องของผู้ใหญ่” ทั้งที่ความจริง ทุกเรื่องที่พ่อแม่ตัดสินใจมันกระทบลูกทั้งนั้น เขาก็ต้องมีสิทธิ์ที่จะแสดงความเห็นต่อสิ่งที่มันจะเป็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิตเขา แล้วพ่อแม่ค่อยอธิบายเหตุผลเป็นข้อๆ ไป
เด็กไทย พอไม่ให้เขาแสดงความรู้สึก แสดงความคิด พอเขาโต ถ้าเขาไม่ไม่กล้าแสดงความคิด เขาก็จะเป็นพวกขบถที่ไม่สนใจ/เคารพความคิดพ่อแม่
ไม่ทราบว่าจขกท พอเห็นภาพรึเปล่า เด็กฝรั่งเขาโตมาในลักษณะนี้ ทางโรงเรียนก็สอนแบบให้แสดงความคิด เน้นพวกโครงงานรายงาน การพิสูจน์ ตั้งกลุ่ม ตั้งกรุ๊ป ตอนเราอยู่อเมริกา สาวน้อยวัยสิบสองข้างบ้านเรา ตั้งกลุ่มเพื่อนเพื่อเพื่อน จัดงานวิ่งมาราธอนเพื่อเรี่ยไรเงินให้เด็กเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย คือเป็นจริงเป็นจังมาก มีคนวิ่งเป็นร้อย แจกใบปลิวประชาสัมพันธ์ ทำกรุปเฟซ ในขณะที่เด็กไทยจะเรียนอย่างเดียว ที่ดีก็มีช่วยพ่อแม่ทำงาน แต่ไม่ใช่ลักษณะที้เป็นการรวมกลุ่มระดมความคิด ทำโครงงาน ทำอะไรเป็นจริงเป็นจังแบบนี้… สมมุติเด็กต้องทำรายงานเรื่องสงครามโลกครั้งที่สอง เด็กไทยม1อาจจะทำรายงานรูปเล่ม ให้ดีก็เสนอด้วยโปรแกรมนำเสนองาน แต่เด็กฝรั่งจะไปพิพิธภัณฑ์ ตัดต่อเป็นหนัง จบท้ายด้วยคลิปเล่ารายละเอียดจากคนในเหตุการณ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยได้รายชื่อพวกเขามาจากหน่วยงานอะไรสักอย่าง แล้วอีเมลไปขอให้เขาพูด อัดคลิป แล้วก็อาจจะเชิญปู่ย่าตายายของใครที่เกิดในสมัยนั้นมาพูด ฯลฯ
เด็กเตรียมอนุบาล(2-4) ต้องถอดรองเท้าไว้บนชั้น ถอดเสื้อคลุม ใส่ไม้แขวน แขวนราว หยิบใส่เองเป็น
พวกงานโรงเรียนเขาก็ทำอะไรๆกันเอง คิดธีม คิดชุด ทำอะไรง่ายๆ อะไรเองพ่อแม่เปลืองเงินน้อยมาก เด็กไทยออกงานรร บ่อยๆ พ่อแม่จะเป็นลมตาย ทั้งค่าชุดค่าอุปกรณ์ ต้องแต่งหน้าทำผม
การเลี้ยงดูและระบบการศึกษาแบบนี้แหละ (ยังไม่พูดถึงสังคม) ที่ทำให้ฝรั่งเขากล้าคิด กล้าทำ กล้าออกความเห็น
ความเห็นที่ 1
ความเห็นที่ 3
ความเห็นที่ 9
ความเห็นที่ 18
เรียบเรียงโดย : Postsod