นิทานสอนใจ ทัศนคติที่ดี ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ อ่านแล้วชีวิตเปลี่ยน

0

นิทานสอนใจ ทัศนคติที่ดี ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้

เรื่องของทัศนคตินั้นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมากในการดำรงชีวิตในปัจจุบัน เรื่องทัศนคติเป็นเรื่องที่มีคนพูดถึงเยอะมาก โดยเฉพาะในแวดวงของการพัฒนาตนเอง การสร้างตนเองให้ประสบความสำเร็จ รวมทั้งการทำงานในองค์กรให้ประสบความสำเร็จ

การมองโลกในแง่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ชีวิตของเรามีความสุข การคิดบวกเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างในชีวิตของเราเป็นบวกได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัว เพื่อน คนรัก เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว และการทำงาน วันนี้ผมก็ได้อ่านเจอนิทานเรื่องหนึ่ง ซึ่งหาชื่อคนแต่งไม่ได้ ถ้าท่านผู้อ่านท่านใดทราบก็แจ้งมาได้นะครับ จะได้ลงเครดิตไว้ให้ครับ เรื่องราวมีดังต่อไปนี้ครับ

…กาลครั้งหนึ่ง มีนครอยู่นครหนึ่ง และมีกษัตริย์ครองนครกษัตริย์ทรงโปรดปรานการท่องป่าล่าสัตว์เป็นอันมากกษัตริย์ทรงมีมหาดเล็กคู่ใจเป็นที่ปรึกษาอยู่คนหนึ่ง

วันหนึ่งได้เกิดกบฏขึ้นภายในพระนคร มีคนลุกฮือขึ้นจะโค่นอำนาจกษัตริย์ซึ่งก็มีแววจะชนะซะด้วย เมื่อกองทัพกบฏประชิดเมืองกษัตริย์ก็ได้ปรึกษากับคนสนิทเป็นการใหญ่ซึ่งรวมไปถึงมหาดเล็กคู่ใจของเขาด้วย กษัตริย์ถามว่า

“เจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้”

“ดีพะยะค่ะ”

“ดียังไง”

“สถานการณ์เวลานี้แม้จะดูไม่สู้ดีนัก แต่อย่างน้อยเราก็จะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะจงรักภักดีกับเรา ใครที่คิดจะแปรพรรคไปด้านโน้นซึ่งหากเราปราบกบฏครานี้ลงได้ ท่านก็จะเหลือแต่ลูกน้องที่จงรักภักดีกับท่านทำให้ไม่ต้องกังวลพระทัยอีกต่อไปพะยะค่ะ”

“อืม นั่นสินะ”

หลังจากนั้นกษัตริย์ก็มีกำลังใจเป็นอันมาก และปราบกบฏลงสำเร็จหลังจากนั้นไม่นานพอย่างเข้าหน้าฝนฝนก็ตกหนักจนท่วมลามเข้าในพระนครทำให้การคมนาคมติดขัด ไม่สามารถเดินทางออกนอกพระนครได้กษัตริย์ที่ปกติจะออกป่าล่าสัตว์ก็เกิดอาการหงุดหงิดกษัตริย์ก็ปรึกษามหาดเล็กอีกครั้ง

“เจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้”

“ดีพะยะค่ะ”

“ดียังไง”

“ถึงแม้ตอนนี้เราจะไม่สามารถสัญจรไปไหนมาไหนได้ ก็ไม่เป็นไรพะยะค่ะ”

“เนื่องจากตอนนี้เป็นหน้าฝนอย่างไรเสียการเสด็จออกป่าก็คงไม่สนุกเป็นแน่แท้ และเป็นการดีเสียอีกที่พอน้ำลดเกษตรกรเราก็จะได้ทำการเพาะปลูกได้ผลผลิตงอกงาม และสามารถกักตุนเสบียงได้ในยามจำเป็นพะยะค่ะ”

“อืม นั่นสินะ”

พอเสร็จสิ้นหน้าฝนและน้ำลดแล้วกษัตริย์ก็ทรงออกป่าล่าสัตว์ตามที่พระองค์ชอบเหมือนเดิม ซึ่งมหาดเล็กคนเดิมก็ติดตามไปด้วย แต่แล้วขณะที่พระองค์ทรงอยู่บนหลังม้าปลอกพระขันธ์หรือมีดพกที่เหน็บเอวได้รั่วทำให้มีดหล่น เฉือนนิ้วก้อยของกษัตริย์ขาดไปต่อหน้าต่อตากลายเป็นคนนิ้วด้วน กษัตริย์จึงถามมหาดเล็กเช่นเดิม

“เจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้”

“ดีพะยะค่ะ”

“ดียังไง หา (ใส่อารมณ์โกรธสุดๆ)”

“ยังไงก็ดีกว่าตายพะยะค่ะ”

กษัตริย์โกรธเลือดขึ้นหน้ามาก

สั่งทหารนำมหาดเล็กคนนั้นไปขังลืมในคุกขี้ไก่

และแล้ว 10 ปี ผ่านไปกษัตริย์ได้ออกล่าสัตว์เหมือนเดิมขณะที่มหาดเล็กก็ยังถูกลืมอยู่ในคุกขี้ไก่เหมือนเดิมครานี้เป็นโชคร้ายของกษัตริย์เมื่อเข้าป่าไปเจอกับเผ่ากินคนซึ่งมีจำนวนมากกว่าจำนวนทหารที่ติดตามไปด้วยมากทหารทั้งหมดจึงถูกจับและถูกต้มกินเป็นๆหมดเกลี้ยงจนเหลือแต่กษัตริย์คนเดียว

เมื่อเผ่ากินคนเตรียมจะเชือดกษัตริย์ลงหม้อได้สังเกตเห็นว่ากษัตริย์ไม่มีนิ้วก้อยเท้าซึ่งทางเผ่ากินคนได้มีความเชื่อถือว่าเป็นตัวกาลกินีกินเข้าไปแล้วจะเกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงแก่เผ่าจึงสั่งปล่อยตัวกษัตริย์ไปซะกษัตริย์ดีใจมาก

เมื่อกษัตริย์ดีใจที่รอดตายกลับเมืองได้ จึงนึกถึงคำเมื่อ 10ปีก่อนของมหาดเล็กคู่ใจ จึงลงไปที่คุกขี้ไก่และสั่งปล่อยตัวมหาดเล็กคู่ใจทันทีและทรงเล่าเหตุการณ์ที่เจอมาด้วยความดีใจที่รอดชีวิตมาได้

“อืม คำเจ้าเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นจริงยังไงนิ้วก้อยด้วนก็ยังดีกว่าตายจริงๆ”

“พะยะค่ะ”

กษัตริย์จึงถามต่อ

“แล้วอยู่ในคุกขี้ไก่เป็นไงบ้างล่ะหือ”

“ดีพะยะค่ะ”

กษัตริย์ทำหน้างง

“ดียังไง”

“ถ้ากระหม่อมไม่อยู่ในคุก ก็ทรงเสด็จตามท่านไปในวันนั้นด้วยและคงจะโดนเผ่ากินคนกินไปแล้วพะยะค่ะ”

ขอให้ท่านมีทัศนคติที่ดี คิดดี และสิ่งที่ดีๆ ก็จะเข้ามาในชีวิตของเราในที่สุดครับ

แหล่งที่มา : prakal.wordpress

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่