วิธี “ผ่อนบ้าน” ให้หมดไว ประหยัดเงินไปได้หลายแสน แถมได้เงินคืนบางส่วน!!
การผ่อนบ้าน ถือเป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่ต้องคอยชำระทุกงวดไป โดยเฉพาะดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในการกู้ซื้อบ้านหลังหนึ่ง สำหรับ คนเป็นหนี้บ้าน ที่ต้องผ่อนระยะยาวตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ดอกเบี้ยบ้านอาจจะเทียบได้กับราคารถยนต์คันหนึ่ง หรือถ้าเป็น 20 ปีขึ้นไปอาจจะเท่ากับราคาซื้อบ้านเงินสดได้อีกหลังหนึ่งเลยทีเดียว
วันนี้เรามีวิธีผ่อนบ้านให้ดอกเบี้ยไม่บาน และวิธีปลดหนี้บ้านให้เราเป็นไทได้เร็วขึ้น เป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยผ่อนบ้านให้หมดไวขึ้น แถมได้เงินคืนบางส่วนเมื่อผ่อนหมดอีกด้วย มาดูกันเลยดีกว่าว่าทำยังไง
แต่ก่อนอื่นอยากให้คุณทำความเข้าใจก่อนว่า
– ผ่อนให้หมดไวคือ การที่คุณรู้จักขอลดดอกเบี้ย
– ได้เงินคืนบางส่วนคือ เงินประกันที่หลายต่อหลายคนถูกบังคับให้ทำตอนกู้ ซึ่งธนาคารมักจะชอบอ้างว่า จะได้อนุมัติให้ผ่านง่ายขึ้นถ้าทำประกัน
– ปกติโดยส่วนมาก สัญญาที่ทำมักจะบอกว่า ห้ามปิด (โปะหนี้) ก่อน3 ปี คุณจึงสามารถใช้ช่องโหว่นี้มาขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารได้
– โดยการบอกว่า ขอลดดอกเบี้ย (หลังจากผ่อนครบ 3 ปี) ถ้าธนาคารตอบไม่ได้ ให้คุณมีแผนว่าจะรีไฟแนนท์ไปธนาคารอื่น (คุณจะให้ธนาคารอื่นมาโปะหนี้กับธนาคารเดิม แล้วคุณกลายไปเป็นหนี้ธนาคารอื่นแทน)
– เมื่อคุณบอกไปแบบนี้แล้วธนาคารก็จะพยายามรักษาลูกหนี้ไว้ โดยการรีเทนชั่นคือ ลดดอกเบี้ยให้นั่นเอง
วิธีการ
– ให้คุณไปติดต่อที่สาขาที่คุณกู้ เพื่อที่จะได้ทำการเจรจาขอลดดอกเบี้ย
– ถ้าคุณอยากได้เปรียบให้คุณพูดไปเลยว่า ขอลดดอกเบี้ยตรงๆไปเลย โดยจะต้องให้เหตุผลแค่ว่าคุณเป็นลูกค้าชั้นดี ไม่เคยมีประวัติชำระไม่ตรง และในตอนนี้ผ่อนมาครบ 3 ปีแล้ว จึงอยากจะขอลดดอกเบี้ย
– ถ้าหากไม่ได้ตั้งใจว่าจะรีไฟแนนท์ เนื่องจากไปเช็คดอกเบี้ย โฮมโลนสำหรับลูกค้าใหม่มาแล้ว 4-5 ธนาคาร แล้วดอกถูกกว่าที่จ่ายอยู่
– จากนั้นพนักงาน เขาอาจจะถามคุณว่าสนใจที่ไหนอยู่ คุณก็แกล้งเลือกบอกไปสัก 1 ธนาคาร ที่มีดอกต่ำที่สุดในกระดาษที่คุณจดมา
ปล. คุณต้องเช็คแล้วเขียนใส่กระดาษว่า ดอกเบี้ยแต่ละธนาคารเท่าไหร่ 4-5 ที่ อย่างที่บอกจริงๆ คุณจะต้องเช็คไปจริงๆ
– เนื่องจากมันจะทำให้คุณสามารถต่อรองได้มากขึ้น เพราะว่าธนาคารจะรู้เรตของธนาคารอื่นอยู่แล้ว แต่แค่แกล้งถามให้รู้ว่าคุณเช็คมาจริงๆ
– หลังจากนั้นธนาคารจะออฟเฟอร์ดอกเบี้ยใหม่ให้คุณ ซึ่งก็ยังพูดมาในราคาที่แพงกว่าของธนาคารที่คุณแจ้งไปเล็กน้อย
– เนื่องจากเขารู้ว่า ถ้าคุณรีไฟแนนท์ คุณก็ต้องมีค่าใช้จ่าย และบางคนก็มองว่ายุ่งยาก ธนาคารจึงคิดว่า ดอกเบี้ยลดให้แล้ว แต่ยังแพงกว่าหน่อยลูกค้าส่วนใหญ่ก็โอเคถือว่าซื้อความสะดวก
– เมื่อคุณได้ดอกเบี้ยใหม่ คุณก็ถามเขาได้เลยว่า ดอกเบี้ยใหม่เริ่มคิดให้ตั้งแต่เดือนไหน (คุณสามารถไปติดต่อก่อนครบ 3 ปี ล่วงหน้าซัก 1-2 เดือนได้เลย)
ปล. ดอกเบี้ยของธนาคารอื่น 4-5 ธนาคารที่ให้เช็คและจดไปว่าที่ไหนต่ำสุด ให้คุณทำการคำนวณว่า ในระยะเวลาอีก 3 ปีที่จะผ่อนข้างหน้าต่ำสุด ไม่ใช่ดูแค่ว่า 0% 3 เดือนแรก จากนั้น แพง ให้คุณลองคำนวณดูที่ 3 ปี
– เนื่องจาก หลังจากนั้นทุกๆ 3 ปี คุณก็จะใช้ช่องโหว่เดิมมาขอลดดอกเบี้ยได้อีก (จึงขอแนะนำให้ดูที่ 3 ปี)
– แต่ว่ายอดหนี้ของคุณจะต้องเกิน 1 ล้านบาทตอนไปขอลดดอกเบี้ย (ซึ่งแล้วแต่ธนาคาร คุณลองเช็คดูก่อน)
– บางธนาคารก็มีการดูท่าทีคุณ เพื่อที่จะประเมินว่าควรให้ดอกเบี้ยใหม่เท่าไหร่ ถ้าหากคุณไม่รู้อะไรเลยก็จะลดได้ไม่เยอะ
– ยกตัวอย่างในกรณีของเพื่อนเคยเจอแบบว่า พอพูดว่าจะรีไฟแนนท์ เขาเช็คดูว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตหรือไม่ จนเพื่อรต้องบอกว่า หนี้บัตรตั้งใจปิดก่อนรีไฟแนนท์อยู่แล้ว เนื่องจากรู้ว่าต้องใช้ในการพิจารณ์สินเชื่อบ้าน ยังไงก็จะปิดอยู่แล้ว เลยได้ลดดอกเบี้ยมา
– ถ้าหากเขารู้ว่าคุณไม่มีทางเลือกเป็นหนี้บัตรเครดิต อาจจะยากในการขอสินเชื่อจากธนาคารใหม่ ธนาคารก็อาจจะดึงเกมส์ โดยไม่ลดให้ หรือลดให้ไม่มาก เพราะรู้ว่าที่จริงแล้วคุณไม่มีทางเลือก
– ฉะนั้นก่อนที่คุณจะไปต่อรอง คุณควรชำระบัตรให้หมด หรืออย่างน้อยให้บัตรเครดิตของธนาคารนั้นเป็น 0 ไปรวมหนี้ไว้ที่บัตรของธนาคารอื่นก่อน
ได้รับเงินคืน เมื่อผ่อนหมด
– ถ้าหากในกรณีที่คุณโดนบังคับให้ทำประกันพร้อมกู้ซื้อบ้าน และคุณได้ทำสัญญากู้บ้าน
– ยกตัวอย่างเช่น ทำสัญญากู้บ้าน 30 ปี แต่คุณผ่อนจริง 17 ปีหมด คุณก็จะสามารถติดต่อขอเคลมเงินประกันคืนได้
– โดยให้คุณให้เหตุผลกับธนาคารว่า คุณได้คุ้มครองแค่ 17 ปี ที่เหลืออีก 13 ปีไม่ได้มีการคุ้มครอง เนื่องจากผ่อนบ้านหมดแล้ว
– ฉะนั้น คุณจึงขอเคลม 13 ปีที่ไม่ได้คุ้มครองคืนเป็นเงิน
– การขอเคลมคืนอาจจะได้มาไม่มาก ประมาณไม่กี่หมื่น คุณสามารถสอบถามธนาคารได้เลยว่าได้คืนเท่าไหร่ และธนาคารอาจจะยื่นข้อเสนอให้กับคุณว่า ถ้าไม่รับคืนก็จะคุ้มครองต่อ
– โดยส่วนมากการคุ้มครองมักจะเป็นการได้เงิน ถ้าหากคุณตาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วธนาคารจะทำประกันแบบนี้ให้
– เนื่องจาก ธนาคารกลัวว่าคุณจะตายก่อนผ่อนบ้านหมด ซึ่งผู้ที่ได้ก็ไม่ใช่คุณ แต่เป็นผู้รับประโยชน์ในสัญญากรมธรรม์
– ซึ่งถ้าหากคุณให้เขาคุ้มครองต่อ คุณก็ควรจะแจ้งชื่อผู้รับผลประโยชน์ใหม่
– เนื่องจาก ผู้รับประโยชน์เก่าในกรรมธรรม์ก่อนที่คุณจะปิดบ้านหมดคือ ธนาคาร
– ฉะนั้น คุณลองชั่งน้ำหนักดูว่า คุณจะเคลมเอาเงินคืน หรือให้ธนาคารคุ้มครองต่อไป
แหล่งที่มา : sara1000update