คนที่ร้องไห้บ่อย รู้เอาไว้เลยว่าเป็นคนเข้มแข็ง และจริงใจที่สุด
ชีวิตของคนเราทุกคนมีความไม่แน่นอนอยู่เสมอ การใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวัน มักมีความสุขและความทุกข์ที่ปะปนกันไป สิ่งหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้และผ่านพ้นไปให้ได้ คือ ความเข้มแข็ง
ความสุข คือสัญลักษณ์ของความมั่นใจ ความปลอดภัย และความสำเร็จ
ทุกคนต่างรู้ดีว่า การแสดงออกถึงความสุข เป็นวิธีการที่ดี ที่จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ
กับบุคคลอื่น ถึงแม้ว่าเราจะต้องแสร้งทำจนกว่าจะรู้สึกว่ามีความสุขจริงๆ ก็ตาม
ความกลัว ก็อาจถือว่าเป็นอารมณ์ที่มีบทบาทไม่แพ้กัน เพราะทุกคนต้องเคยรู้สึกกลัวในบางเรื่อง
บางคนอาจกลัวที่จะลาออกจากงานที่ทำอยู่ กลัวที่จะขอใครสักคนแต่งงาน
หรือแม้แต่กลัวที่จะต้องพูดคุยกับเพื่อนถึงเรื่องที่เขาทำให้เราโมโห
และหากพิจารณาความกลัวเล็กๆ ที่ถูกระบายผ่านโซเชียล ก็จะเห็นว่าแท้จริงแล้ว
ความกลัวเป็นอารมณ์ที่มีบทบาทสำคัญต่อคนเราไม่น้อยเลยทีเดียว
ความโกรธ แม้จะเป็นอารมณ์ที่ไม่มีใครอยากรู้สึก แต่ก็เป็นอารมณ์ที่ใครหลายๆ คน
รู้สึกอยู่บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การที่ต้องอยู่ท่ามกลางการจราจรที่ติดขัดเป็นเวลานาน
การที่ลูกสุดที่รักของคุณทำแจกันสวยราคาแพงแตก
และการที่ต้องทำงานร่วมกับคนที่ไร้ความสามารถ
เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนทำให้คุณโกรธได้ ซึ่งมันก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ใครๆ ก็รู้สึกได้
แต่ อารมณ์เศร้า จะมีลักษณะเฉพาะ ดังที่ปรากฎในหนังของ Pixar เรื่อง Inside Out
การเป็นคนมีอารมณ์เศร้ามักจะทำให้ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วยเท่าไรนัก
มักโดนแกล้ง และถูกก่อกวน… การแสดงสีหน้าบึ้งตึง การเดินตัวงอคอตก และการร้องไห้
ล้วนเป็นการแสดงออกภายนอกของความเศร้าทั้งนั้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะถือเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอและไม่มั่นคง
มันไม่ยุติธรรมนักที่ในวัฒนธรรมของเรากำหนดให้อารมณ์เศร้าแทบไม่มีที่ให้แสดงออก
ทำให้น้อยคนนักที่จะกล้าแสดงอารมณ์เศร้าของตัวเองออกมา
สำหรับคนที่ไม่กลัวที่จะแสดงออกว่าตัวเองกำลังเศร้า คุณอาจไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว
พวกเขาเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งกว่าคนที่พยายามปิดบังความเศร้าเหล่านั้นไว้เสียอีก
และสิ่งเหล่านี้คือเหตุผลว่าทำไมการร้องไห้ถึงทำให้คุณมีจิตใจที่เข้มแข็ง
1. พวกเขาไม่กลัวความรู้สึกตัวเอง
หากชีวิตคุณเต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน คุณจะปิดบังรอยยิ้มของคุณไหม?
หากคุณเห็นกระรอกที่ถูกรถทับบี้แบนไส้ทะลักอยู่กลางถนนในขณะที่คุณวิ่งหรือปั่นจักรยานอยู่นั้น
เป็นไปได้หรือที่คุณจะไม่ขยะแขยงจนต้องเบะปาก?
หากคุณเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในวันแย่ๆ มา แล้วพบว่าเบียร์วุ้นเย็นๆ ที่คุณแช่ไว้
และเฝ้าคิดถึงมันมาตลอดทั้งวัน ถูกรูมเมทของคุณที่ไร้การไร้งานขโมยดื่มไปหมดแล้ว
เป็นไปได้หรือที่คุณจะไม่โมโห?
หากคุณกำลังเดินคลำหาสวิทช์ไฟโดยไม่รู้ว่าแฟนคุณแอบอยู่ในห้อง
เพื่อเตรียมที่จะแกล้งทำให้คุณขวัญผวาเล่น เมื่อเขากระโจนมาจ๊ะเอ๋คุณ
เป็นไปได้หรอที่คุณจะไม่ตกใจกลัว?
เพราะฉะนั้น ทำไมเมื่อคุณเศร้า คุณถึงไม่ยอมร้องไห้ออกมาล่ะ?
ทำไมไม่เดินตัวงอคอตกแสดงออกมาเลยว่าเศร้า?
ทำไมไม่ให้สิทธิที่จะแสดงความเศร้ากับตัวคุณบ้าง?
คนที่มองข้ามหรือละเลยความเศร้า คือคนที่กำลังหลอกตัวเองอยู่
ความเศร้าหรือการร้องไห้ไม่ใช่สัญลักษณ์ของความอ่อนแอ
หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึก
แม้ว่าความรู้สึกนั้นคนส่วนใหญ่จะถูกสอนมาไม่ให้แสดงออกในที่สาธารณะก็ตาม
2. พวกเขาเข้าใจดีว่าน้ำตามีคุณสมบัติช่วยเยียวยาจิตใจ
มันก็ไม่ต่างจากการเป่าทรัมเป็ตหรอก ที่เมื่อคุณกลั้นลมและเป่าออกมา มันก็ย่อมมีน้ำลายออกมาด้วย
การปล่อยน้ำตาก็เช่นกัน คุณย่อมได้ปลดปล่อยความเครียด กังวล เศร้า
และความผิดหวัง ออกมาจากหัวสมองและร่างกายของคุณเช่นกัน
มันเป็นการทำความสะอาดจิตวิญญาณ และทำให้จิตใจเบิกบาน
มันเป็นเหมือนการระบายความรู้สึกในแง่ลบต่างๆ ที่เกิดจากความเครียด
คุณสมบัติด้านการเยียวยาของน้ำตาไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องเป็นน้ำตาที่มาจากความเศร้าเท่านั้น
น้ำตาที่มาจากความสุขก็รวมอยู่ด้วย เพราะไม่ว่าน้ำตานั้นจะมาจากความทุกข์หรือความสุข
มันก็หมายถึงว่าคุณกำลังเผชิญอยู่กับความรู้สึกที่สุดโต่งทั้งคู่ ทั้งเศร้าสุดๆ หรือสุขสุดๆ
และการที่ปล่อยให้ความรู้สึกที่สุดโต่งเหล่านั้นอยู่กับคุณโดยที่คุณไม่ปลดปล่อยมันออกมาเลย
ถือเป็นเรื่องที่อันตรายยิ่งนัก ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
การร้องไห้ ไม่ได้เพียงแค่ทำให้คุณได้ระบายความเครียดและเดินหน้าได้เท่านั้น
ในทางวิทยาศาสตร์ การร้องไห้ก็มีประโยชน์ต่อคุณเช่นกัน เมื่อร้องไห้
ร่างกายจะหลั่งสาร toxin ที่ช่วยในด้านการมองเห็น อีกทั้งน้ำตายังช่วยในการกำจัดแบคทีเรีย
ภายในดวงตาได้ 90 ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ภายในเวลาเพียง 5 ถึง 10 นาทีอีกด้วย
3. พวกเขารู้ดีว่าการร้องไห้สามารถบำบัดรักษาเขาได้
จากงานวิจัยด้านจิตวิทยา เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าการร้องไห้เป็นการกระตุ้นให้สมองหลั่งสาร endorphin
หรือที่รู้จักกันว่า ฮอร์โมนแห่ง “ความสุข” ซึ่งจะทำหน้าที่บรรเทาความเจ็บปวดต่างๆ
นอกจากนี้ การร้องไห้ยังเป็นการลดระดับแมงกานีสในตัวคุณ
ซึ่งธาตุแมงกานีสนี้หากมีมากๆ ก็จะทำให้คุณโมโหฉุนเฉียวได้ง่ายนั่นเอง
แม้ว่าหลังจากที่คุณร้องไห้แล้ว ปัญหาก็ไม่ได้จากคุณไปไหน แต่มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่า
ทำไมการร้องไห้ทำให้คุณรู้สึกว่าได้ระบายความรู้สึกแย่ๆ ออกไปบ้าง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามที
ซึ่งมันทำให้คุณได้คิดทบทวนเกี่ยวปัญหาและไม่ถูกครอบงำโดยมันนั่นเอง
4. พวกเขาไม่สนเรื่องบทบาททางเพศหรือความคาดหวังของสังคม
การร้องไห้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั้งเพศชายและหญิง หากผู้หญิงร้องไห้มักเป็นเพราะเธออ่อนไหว
รู้สึกย่ำแย่ หรือแม้แต่เพียงแค่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น แต่หากผู้ชายร้องไห้
พวกเขาจะถูกมองว่าไม่ใช่ชายแท้ น่าละอาย และไม่แมนพอ สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจนี้เป็นเหตุที่ทำให้
ทั้งสองเพศเลือกที่จะปิดบังและเก็บงำความรู้สึกเศร้าที่มีอยู่ไว้อยู่ในส่วนลึกของจิตใจของพวกเขานั่นเอง
แม้มันจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยสักนิด แต่คนเราก็พยายามอย่างไม่ท้อถอย
ในการลดข้อจำกัดและบทบาทเรื่องเพศที่มีอยู่ในสังคม ที่ในบางครั้ง
อาจไปจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกทางความรู้สึกของพวกเขา
สำหรับผู้คนที่สามารถแสดงความรู้สึกเศร้าออกมาในที่สาธารณะได้นั้น
ไม่เพียงแค่เป็นบุคคลที่กล้าหาญ แต่พวกเขายังถือเป็นแกนนำที่จะผลักดัน
ให้สังคมเป็นสังคมที่แข็งแกร่งขึ้นในด้านอารมณ์อีกด้วย
5. พวกเขาไม่ได้ไล่ใครให้ออกไปจากขอบเขตความรู้สึกของเขา
เราทุกคน ย่อมต้องเคยควบคุมตัวเอง และต่อสู้กับความเศร้าโศก ที่พยายามทำให้เราร้องไห้ด้วยกันทั้งนั้น
การปล่อยให้ตัวเองรู้สึกเศร้าในเวลาที่เศร้า ถือเป็นการบอกให้คนอื่นรับรู้ถึงความรู้สึกตนเอง
ซึ่งอย่างน้อยคุณก็รับรู้ว่าคุณไม่ได้กำลังคิด รู้สึก หรือแม้แต่แสดงออกในท่าทีที่แปลกๆ นั้นอยู่คนเดียว
เพราะยังมีคนที่พร้อมจะรับฟังคุณ และช่วยคุณระบายความทุกข์ออกไปได้
สำหรับ คนที่ชอบเก็บความเศร้าไว้ข้างใน ไม่ว่ามันจะเอ่อล้นอยู่ในใจคุณเท่าไร
จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่ามันเป็นเรื่องอันตรายที่จะเก็บความรู้สึกต่างๆ ไว้ข้างใน
และปล่อยให้มันทับถมกันเองไปเรื่อยๆ เนื่องจากความเศร้าเป็นอารมณ์ความรู้สึกในแง่ลบ
การเก็บความรู้สึกแย่ๆ ไว้ล้วนเป็นผลเสียต่อสุขภาพกายและจิตใจของเราได้
หากเราซื่อสัตย์ต่อร่างกายของเรา เราจะปล่อยความรู้สึกต่างๆ ให้เป็นไปตามธรรมชาติ
เท่าที่ร่างกายเราจะรับได้ แม้ว่าเราจะกำลังเผชิญอยู่กับความเศร้าโศกที่ยิ่งใหญ่มากก็ตาม
ในเรื่องของวิธีการปฏิบัติเพื่อให้มีสุขภาพจิตที่ดีนั้น เราทุกคนควรตระหนัก
และขอบคุณ ความสามารถของระบบในร่างกายเราที่ทำให้เราสามารถร้องไห้
และควรใช้ความสามารถที่ธรรมชาติได้ให้มานี้ ระบายความรู้สึกต่างๆ
ทั้งความวิตกกังวล ความทุกข์ หรือแม้แต่ความเศร้าออกมาให้มากที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก : newsface7