คนที่ร้องไห้บ่อย รู้เอาไว้เลยว่าเป็นคนเข้มแข็ง และจริงใจที่สุด

0

คนที่ร้องไห้บ่อย รู้เอาไว้เลยว่าเป็นคนเข้มแข็ง และจริงใจที่สุด

ชีวิตของคนเราทุกคนมีความไม่แน่นอนอยู่เสมอ การใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวัน มักมีความสุขและความทุกข์ที่ปะปนกันไป สิ่งหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้และผ่านพ้นไปให้ได้ คือ ความเข้มแข็ง

ความสุข คือสัญลักษณ์ของความมั่นใจ ความปลอดภัย และความสำเร็จ

ทุกคนต่างรู้ดีว่า การแสดงออกถึงความสุข เป็นวิธีการที่ดี ที่จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ

กับบุคคลอื่น ถึงแม้ว่าเราจะต้องแสร้งทำจนกว่าจะรู้สึกว่ามีความสุขจริงๆ ก็ตาม

ความกลัว ก็อาจถือว่าเป็นอารมณ์ที่มีบทบาทไม่แพ้กัน เพราะทุกคนต้องเคยรู้สึกกลัวในบางเรื่อง

บางคนอาจกลัวที่จะลาออกจากงานที่ทำอยู่ กลัวที่จะขอใครสักคนแต่งงาน

หรือแม้แต่กลัวที่จะต้องพูดคุยกับเพื่อนถึงเรื่องที่เขาทำให้เราโมโห

และหากพิจารณาความกลัวเล็กๆ ที่ถูกระบายผ่านโซเชียล ก็จะเห็นว่าแท้จริงแล้ว

ความกลัวเป็นอารมณ์ที่มีบทบาทสำคัญต่อคนเราไม่น้อยเลยทีเดียว

ความโกรธ แม้จะเป็นอารมณ์ที่ไม่มีใครอยากรู้สึก แต่ก็เป็นอารมณ์ที่ใครหลายๆ คน

รู้สึกอยู่บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การที่ต้องอยู่ท่ามกลางการจราจรที่ติดขัดเป็นเวลานาน

การที่ลูกสุดที่รักของคุณทำแจกันสวยราคาแพงแตก

และการที่ต้องทำงานร่วมกับคนที่ไร้ความสามารถ

เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนทำให้คุณโกรธได้ ซึ่งมันก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ใครๆ ก็รู้สึกได้

แต่ อารมณ์เศร้า จะมีลักษณะเฉพาะ ดังที่ปรากฎในหนังของ Pixar เรื่อง Inside Out

การเป็นคนมีอารมณ์เศร้ามักจะทำให้ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วยเท่าไรนัก

มักโดนแกล้ง และถูกก่อกวน… การแสดงสีหน้าบึ้งตึง การเดินตัวงอคอตก และการร้องไห้

ล้วนเป็นการแสดงออกภายนอกของความเศร้าทั้งนั้น

ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะถือเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอและไม่มั่นคง

มันไม่ยุติธรรมนักที่ในวัฒนธรรมของเรากำหนดให้อารมณ์เศร้าแทบไม่มีที่ให้แสดงออก

ทำให้น้อยคนนักที่จะกล้าแสดงอารมณ์เศร้าของตัวเองออกมา

สำหรับคนที่ไม่กลัวที่จะแสดงออกว่าตัวเองกำลังเศร้า คุณอาจไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว

พวกเขาเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งกว่าคนที่พยายามปิดบังความเศร้าเหล่านั้นไว้เสียอีก

และสิ่งเหล่านี้คือเหตุผลว่าทำไมการร้องไห้ถึงทำให้คุณมีจิตใจที่เข้มแข็ง

1. พวกเขาไม่กลัวความรู้สึกตัวเอง

หากชีวิตคุณเต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน คุณจะปิดบังรอยยิ้มของคุณไหม?

หากคุณเห็นกระรอกที่ถูกรถทับบี้แบนไส้ทะลักอยู่กลางถนนในขณะที่คุณวิ่งหรือปั่นจักรยานอยู่นั้น

เป็นไปได้หรือที่คุณจะไม่ขยะแขยงจนต้องเบะปาก?

หากคุณเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในวันแย่ๆ มา แล้วพบว่าเบียร์วุ้นเย็นๆ ที่คุณแช่ไว้

และเฝ้าคิดถึงมันมาตลอดทั้งวัน ถูกรูมเมทของคุณที่ไร้การไร้งานขโมยดื่มไปหมดแล้ว

เป็นไปได้หรือที่คุณจะไม่โมโห?

หากคุณกำลังเดินคลำหาสวิทช์ไฟโดยไม่รู้ว่าแฟนคุณแอบอยู่ในห้อง

เพื่อเตรียมที่จะแกล้งทำให้คุณขวัญผวาเล่น เมื่อเขากระโจนมาจ๊ะเอ๋คุณ

เป็นไปได้หรอที่คุณจะไม่ตกใจกลัว?

เพราะฉะนั้น ทำไมเมื่อคุณเศร้า คุณถึงไม่ยอมร้องไห้ออกมาล่ะ?

ทำไมไม่เดินตัวงอคอตกแสดงออกมาเลยว่าเศร้า?

ทำไมไม่ให้สิทธิที่จะแสดงความเศร้ากับตัวคุณบ้าง?

คนที่มองข้ามหรือละเลยความเศร้า คือคนที่กำลังหลอกตัวเองอยู่

ความเศร้าหรือการร้องไห้ไม่ใช่สัญลักษณ์ของความอ่อนแอ

หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึก

แม้ว่าความรู้สึกนั้นคนส่วนใหญ่จะถูกสอนมาไม่ให้แสดงออกในที่สาธารณะก็ตาม

2. พวกเขาเข้าใจดีว่าน้ำตามีคุณสมบัติช่วยเยียวยาจิตใจ

มันก็ไม่ต่างจากการเป่าทรัมเป็ตหรอก ที่เมื่อคุณกลั้นลมและเป่าออกมา มันก็ย่อมมีน้ำลายออกมาด้วย

การปล่อยน้ำตาก็เช่นกัน คุณย่อมได้ปลดปล่อยความเครียด กังวล เศร้า

และความผิดหวัง ออกมาจากหัวสมองและร่างกายของคุณเช่นกัน

มันเป็นการทำความสะอาดจิตวิญญาณ และทำให้จิตใจเบิกบาน

มันเป็นเหมือนการระบายความรู้สึกในแง่ลบต่างๆ ที่เกิดจากความเครียด

คุณสมบัติด้านการเยียวยาของน้ำตาไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องเป็นน้ำตาที่มาจากความเศร้าเท่านั้น

น้ำตาที่มาจากความสุขก็รวมอยู่ด้วย เพราะไม่ว่าน้ำตานั้นจะมาจากความทุกข์หรือความสุข

มันก็หมายถึงว่าคุณกำลังเผชิญอยู่กับความรู้สึกที่สุดโต่งทั้งคู่ ทั้งเศร้าสุดๆ หรือสุขสุดๆ

และการที่ปล่อยให้ความรู้สึกที่สุดโต่งเหล่านั้นอยู่กับคุณโดยที่คุณไม่ปลดปล่อยมันออกมาเลย

ถือเป็นเรื่องที่อันตรายยิ่งนัก ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

การร้องไห้ ไม่ได้เพียงแค่ทำให้คุณได้ระบายความเครียดและเดินหน้าได้เท่านั้น

ในทางวิทยาศาสตร์ การร้องไห้ก็มีประโยชน์ต่อคุณเช่นกัน เมื่อร้องไห้

ร่างกายจะหลั่งสาร toxin ที่ช่วยในด้านการมองเห็น อีกทั้งน้ำตายังช่วยในการกำจัดแบคทีเรีย

ภายในดวงตาได้ 90 ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ภายในเวลาเพียง 5 ถึง 10 นาทีอีกด้วย

3. พวกเขารู้ดีว่าการร้องไห้สามารถบำบัดรักษาเขาได้

จากงานวิจัยด้านจิตวิทยา เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าการร้องไห้เป็นการกระตุ้นให้สมองหลั่งสาร endorphin

หรือที่รู้จักกันว่า ฮอร์โมนแห่ง “ความสุข” ซึ่งจะทำหน้าที่บรรเทาความเจ็บปวดต่างๆ

นอกจากนี้ การร้องไห้ยังเป็นการลดระดับแมงกานีสในตัวคุณ

ซึ่งธาตุแมงกานีสนี้หากมีมากๆ ก็จะทำให้คุณโมโหฉุนเฉียวได้ง่ายนั่นเอง

แม้ว่าหลังจากที่คุณร้องไห้แล้ว ปัญหาก็ไม่ได้จากคุณไปไหน แต่มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่า

ทำไมการร้องไห้ทำให้คุณรู้สึกว่าได้ระบายความรู้สึกแย่ๆ ออกไปบ้าง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามที

ซึ่งมันทำให้คุณได้คิดทบทวนเกี่ยวปัญหาและไม่ถูกครอบงำโดยมันนั่นเอง

4. พวกเขาไม่สนเรื่องบทบาททางเพศหรือความคาดหวังของสังคม

การร้องไห้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั้งเพศชายและหญิง หากผู้หญิงร้องไห้มักเป็นเพราะเธออ่อนไหว

รู้สึกย่ำแย่ หรือแม้แต่เพียงแค่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น แต่หากผู้ชายร้องไห้

พวกเขาจะถูกมองว่าไม่ใช่ชายแท้ น่าละอาย และไม่แมนพอ สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจนี้เป็นเหตุที่ทำให้

ทั้งสองเพศเลือกที่จะปิดบังและเก็บงำความรู้สึกเศร้าที่มีอยู่ไว้อยู่ในส่วนลึกของจิตใจของพวกเขานั่นเอง

แม้มันจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยสักนิด แต่คนเราก็พยายามอย่างไม่ท้อถอย

ในการลดข้อจำกัดและบทบาทเรื่องเพศที่มีอยู่ในสังคม ที่ในบางครั้ง

อาจไปจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกทางความรู้สึกของพวกเขา

สำหรับผู้คนที่สามารถแสดงความรู้สึกเศร้าออกมาในที่สาธารณะได้นั้น

ไม่เพียงแค่เป็นบุคคลที่กล้าหาญ แต่พวกเขายังถือเป็นแกนนำที่จะผลักดัน

ให้สังคมเป็นสังคมที่แข็งแกร่งขึ้นในด้านอารมณ์อีกด้วย

5. พวกเขาไม่ได้ไล่ใครให้ออกไปจากขอบเขตความรู้สึกของเขา

เราทุกคน ย่อมต้องเคยควบคุมตัวเอง และต่อสู้กับความเศร้าโศก ที่พยายามทำให้เราร้องไห้ด้วยกันทั้งนั้น

การปล่อยให้ตัวเองรู้สึกเศร้าในเวลาที่เศร้า ถือเป็นการบอกให้คนอื่นรับรู้ถึงความรู้สึกตนเอง

ซึ่งอย่างน้อยคุณก็รับรู้ว่าคุณไม่ได้กำลังคิด รู้สึก หรือแม้แต่แสดงออกในท่าทีที่แปลกๆ นั้นอยู่คนเดียว

เพราะยังมีคนที่พร้อมจะรับฟังคุณ และช่วยคุณระบายความทุกข์ออกไปได้

สำหรับ คนที่ชอบเก็บความเศร้าไว้ข้างใน ไม่ว่ามันจะเอ่อล้นอยู่ในใจคุณเท่าไร

จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่ามันเป็นเรื่องอันตรายที่จะเก็บความรู้สึกต่างๆ ไว้ข้างใน

และปล่อยให้มันทับถมกันเองไปเรื่อยๆ เนื่องจากความเศร้าเป็นอารมณ์ความรู้สึกในแง่ลบ

การเก็บความรู้สึกแย่ๆ ไว้ล้วนเป็นผลเสียต่อสุขภาพกายและจิตใจของเราได้

หากเราซื่อสัตย์ต่อร่างกายของเรา เราจะปล่อยความรู้สึกต่างๆ ให้เป็นไปตามธรรมชาติ

เท่าที่ร่างกายเราจะรับได้ แม้ว่าเราจะกำลังเผชิญอยู่กับความเศร้าโศกที่ยิ่งใหญ่มากก็ตาม

ในเรื่องของวิธีการปฏิบัติเพื่อให้มีสุขภาพจิตที่ดีนั้น เราทุกคนควรตระหนัก

และขอบคุณ ความสามารถของระบบในร่างกายเราที่ทำให้เราสามารถร้องไห้

และควรใช้ความสามารถที่ธรรมชาติได้ให้มานี้ ระบายความรู้สึกต่างๆ

ทั้งความวิตกกังวล ความทุกข์ หรือแม้แต่ความเศร้าออกมาให้มากที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก : newsface7

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่