เขาทำได้จริง จากคนที่เป็นหนี้ ไม่มีเงินเก็บ จนมีเก็บเป็นเเสน

0

เขาทำได้จริง จากคนที่เป็นหนี้ ไม่มีเงินเก็บ จนมีเก็บเป็นเเสน

จากคนที่เป็นหนี้มาตลอดทั้งชีวิต จนมีเงินเก็บเป็นแสน ในช่วงชีวิตหนึ่งตอนที่อยู่กับแฟนคนเก่า เขาทำงานเป็นพนักงานขายในห้างแห่งหนึ่ง

ผมได้มีโอกาสรู้จักกับพนักงานห้างคนนี้ เป็นคนที่มีหนี้สินเช่นเดียวกับคนที่เป็นพนักงานอื่นทั่วไป มีทั้งหนี้บัตร การผ่อนจ่ายสิ่งของต่างๆ การใช้จ่ายแต่ละเดือน เดือนบางเดือนก็แทบจะไม่เหลืออะไรเลย

ในปีแรกก็สร้างหนี้ให้กับตัวเองด้วยการไปซื้อโทรศัพท์ที่เห็นคนอื่นเขามี แล้วก็ผ่อนพันบาท ปีต่อมาก็เห็นคนอื่นเขามีกระเป๋าสตางค์สวยๆ ก็มีบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ใบ

4 ปีที่ผ่านมา ทำงานใช้หนี้บัตรอย่างเดียว ใช้หนี้ที่ตนเองนั้นได้ก่อไว้ ไม่ว่าจะเป็นทีวี โทรศัพท์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ จนในวันนึง เขาก็คิดต้องการที่จะมีชีวิตใหม่ เขาจริงโยนบัตรทุกใบทิ้งไปหมด แล้วก็คืนรถยนต์ที่ผ่อนมาเป็นปี แล้วก็ได้ย้ายออกจากอพาร์ทเม้นท์เดือนละ 6,000 บาท

เขากลับไปเช่าห้องเดือนละ 800 รวมทั้งค่าน้ำ จากพี่เป็นคนกินสเต็กกินชาบูกับเพื่อนทุกสัปดาห์ ในตอนนี้ก็กลับกลายเป็นว่ามากินไข่ต้ม 1 ฟอง แล้วก็ละลายน้ำพริกปลาทูกินไปด้วยในที่ทำงาน

พ่อกลับบ้านมาก็ซื้อลูกชิ้น 1 ไม้กินกับข้าว 5 บาท แล้วก็หยอดตู้น้ำกิน จนในที่สุดเพื่อนในที่ทำงานก็เริ่มตีตัวออกห่าง เพราะเขาไม่ได้กินหรูหราเหมือนแต่ก่อน

รถก็ไม่มีครับ กินบุฟเฟ่ต์ชวนไปกินก็ไม่กิน ไม่กินเหมือนกับเพื่อนคนอื่นในทุกๆเดือน เพื่อนๆเบื่อหน้าเพราะว่าหินห่อข้าวมากินที่ทำงานทุกวัน บางครั้งก็กินน้ำฟรีของห้าง

ในตอนเย็นกลับบ้านมาก็เหมือนเดิม วนลูปเดิม กินลูกชิ้นบ้าง กินไข่เจียวบ้าง กินมาม่าบ้าง ทำแบบนี้มาตลอดทั้งปี จนในที่สุดกลับมานับเงิน แล้วก็ปรากฏว่ามีเงินเก็บถึง 40,000 บาท จากคนที่เคยเป็นหนี้ เดือนไหนได้ค่าคอมมากหน่อยก็เก็บมากหน่อย และก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม

เขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่เหมือนเดิมเรื่อยไป ห่อข้าวมากิน พักห้องเช่า ที่เป็นห้องน้ำรวมไม่ต้องเสียเงินค่าน้ำ จนวันหนึ่งชีวิตเขามาถึงจุดเปลี่ยน เขาตากผ้าห่มไว้ แต่ดำไปโดนคนขโมยผ้าห่ม

เขาไม่ต้องการที่จะซื้อผ้าห่มชุดเครื่องนอนด้วยเงินสด เพราะเขารู้คุณค่าของเงินมากขึ้น เขาถึงได้ตัดสินใจผ่อนผ้าห่มกับแขกแถวบ้านเช่า ในราคา 1,500 บาท แขกนั้นก็ให้ผ่อน 350 บาท 10 เดือน

เท่ากับว่าตกวันละ 10 กว่าบาทเอง เขาจะได้ตัดสินใจผ่อน ในคืนแรกที่นอนใต้ผ้าห่มไหม เขาก็ครุ่นคิด เสียดอกเท่าตัวเลยนี่หน่า

เขาก็นอนคิดไปคิดมา เขาคิดได้ เขาก็เลยนำผ้าห่มไปขายเงินผ่อนให้กับเพื่อนร่วมงานด้วย แล้วก็มีเพื่อนร่วมงานหลายคนสนใจก็เลยนำแคตตาล็อกไปให้ เอาไปขายให้กับเพื่อนในแผนกสั่งวันเดียวได้เป็น 10 ชุดเลย

แล้วก็ดาวน์ 500 บาท ผ่อน 300 บาท 10 เดือน ต้นทุน 1,500 บาท ในช่วงราคาหลายปีก่อนนะ

ก็เท่ากับว่าได้กำไรเท่าบังเลย ปากต่อปากจนไปถึงแผนกอื่นก็ชวนกันมาผ่อน ไม่กี่เดือนเขาก็สามารถขายชุดเครื่องนอนให้กับเพื่อนพนักงานได้เป็นร้อยชุด บางคนก็ทำให้แฟนไม่ดีหนีบ้าง ไม่จ่ายบ้าง แต่คำนวณแล้วก็ยังได้กำไรงามดู
จากคนที่เป็นหนี้ ในตอนนี้มีเงินให้ผู้จัดการกู้เงินแล้ว แล้วเขาก็มีชีวิตที่ดีโดยไร้ซึ่งบัตร

ได้ใช้ชีวิตแบบสะดวกสบายกับคืนมา ได้ดาวน์บ้านหลังใหม่ ได้ผ่อนรถคันใหม่ และเขาก็ได้ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายโดยการใช้จ่ายเหมือนเดิม ห่อข้าวมากินเหมือนเดิม แต่อาหารก็ดีกว่าเดิมมาก แต่การกินน้ำก็ยังเหมือนเดิมเช่นเดียวกัน ก็ยังกินของที่ห้าง

เขาทำงานแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนในที่สุดจากกันนี่เขาก็มีเงินแสนเก็บ บทความนี้เขียนให้เห็นถึงการปรับตัว การประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักใช้ชีวิตอย่างพอดี เพื่อที่จะแก้ไขสถานการณ์ของชีวิต

ให้มองวิธีการเอาตัวรอด ดูไหวพริบในการใช้ชีวิต ลดอัตราในเรื่องของหน้าตาทางสังคมลงบ้าง มันอาจจะทำให้ชีวิตดีขึ้น ไม่ต้องไปสนใจคำพูดของคนอื่น กินแบบธรรมดาก็ได้ ใช้ชีวิตแบบธรรมดาก็ได้

หากในวันนี้คุณซื้อของราคาแพง เพื่อที่จะเอามาอวดคนอื่น ในวันหนึ่งคุณก็จะต้องขายของที่จำเป็นเพื่อที่จะรักษาในเรื่องของฐานะตัวเองไว้ ลองหันกลับมามองดูที่ตัวเราดูนะครับ อะไรบ้างในชีวิตที่ไม่จำเป็นก็ตัดออกไป

จากที่เคยอยู่ห้องเดือนละ 5-6 พัน ก็ลองเปลี่ยนเป็นห้องพัดลมเดือนละ 2-3 พันดู ยุคนี้ถ้าหากไม่ประหยัด มาอยู่กันไม่ได้หรอก

ไม่ต้องตามวัตถุเหมือนเพื่อนบ้างก็ได้ ใช้ชีวิตแบบเราแบบสบายๆนี่แหละ กินน้อยลง สุขภาพก็ดีขึ้น จ่ายน้อยลง ก็ประหยัดขึ้น เงินเก็บก็จะมากขึ้น มีเงินเอาไปลงทุนทำอย่างอื่นได้ตั้งเยอะตั้งแยะ

คุณกล้าที่จะกินไข่ต้มคลุกข้าวเป็นปีได้ไหม ถ้าทำได้คุณก็รอด

ภาพ / เขียน / เรียบเรียงใหม่โดย : Postsod

ขอขอบคุณ : สิริทัศน์

ไม่อนุญาตให้คัดลอก ทุกกรณี

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่