คลายเครียด ภายใน 10 นาที ด้วยบทสวดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศาสนาพุทธ
เป็นไปได้ที่ความเครียดจัดจะบรรเทาเบาบางลง หรือสลายหายไปจนเกลี้ยงภายใน 10 นาที โดยไม่ต้องลงทุนสักบาท ขอแค่รู้วิธีที่ถูกต้องต่างๆ หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุด และไม่จำเป็นต้องฝึกหัดกันนาน คือ การสวดมนต์ คนส่วนใหญ่สวดกันไม่ถูก จึงไม่ได้ผล เช่น สวดไปด้วยอธิษฐานขอพรพระไปด้วย หรืองึมงำสวดเบาไปจนแทบไม่มีเสียง หรือสวดไปด้วยฟุ้งซ่านเรื่องอื่นไปด้วย
สรุปแล้ว ในความจดจำของคนส่วนใหญ่การสวดมนต์จึงเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า น่าเบื่อหน่าย ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า ไม่ว่าจะตามแนวศรัทธาของศาสนาไหนๆ การสวดมนต์ที่แท้จริงจะเกี่ยวข้องกับการอาศัยคำและคลื่นเสียงที่เปล่งจากแก้วเสียงผู้สวด ซึ่งจะรวมเอาการทำงานของร่างกายและจิตใจ ไปในทางที่ก่อให้เกิดความสบายหายห่วง
ปัจจุบัน แพทย์อธิบายโดยใช้เครื่อง MRI สแกนเพื่อดูความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสมอง และพบว่าสมองส่วนที่ทำหน้าที่สำคัญในการสร้างรู้สึกทั้งหลาย มีการทำงานที่ต่างไปอย่างเห็นได้ชัด เหมือนสวดถึงจุดหนึ่ง สมองบอกตัวเองว่า ถึงเวลาที่ร่างกายทั้งหมดเป็นสุขได้แล้ว ไม่ต้องเกร็งแล้ว
อธิบายในแง่ของพุทธ คือ การสวดมนต์ทำให้จิตผูกอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทางดี จึงเกิดกุศลจิต ซึ่งมีธรรมชาติสว่าง ปรุงแต่งสภาพทาง กายให้คลายจากปมเครียดเกร็ง เข้าสู่จุดสมดุลทางความสุข สัมผัสถึงสันติภายใน
บทสวดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศาสนาพุทธ
บทสวดมนต์ที่เป็นพุทธพจน์ หรือ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ด้วยพระองค์เอง
บทสวดอิติปิ โส ครับ
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหิติ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ
คําแปลบทสวด อิติปิโส
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความเจริญ สามารถจําแนกธรรม สั่งสอนสัตว์ เป็นครูของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย โดยไม่มีใคร ยิ่งไปกว่า
พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริงไม่จํากัดกาลเวลา เป็นสิ่งที่ควรกล่าวแก่ใครๆ ว่า ท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตน เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ปฏิบัติดีแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระ ผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปฏิบัติตรงแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมอันเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว พระสง์ฆสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว ได้แก่อริยบุคคล ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ พระสงฆ์ เหล่านั้นแหละเป็นผู้ควรแก่สักการะที่เข้านํามาบูชาเป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา เป็นผู้ควรแก่การทําอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
ที่มาของบทสวด อิติปิ โส
สมัยโบราณผู้คนจะร่ําลือถึงพระศาสดาที่ตนนับถือตลอดไป จนกระทั้ง ธรรมะของพระองค์ รวมทั้งคุณลักษณของผู้เป็นสาวกแห่งองค์ท่าน เพื่อที่จะให้กิตติศัพท์เป็นที่กล่าวขวัญขจรขจายตรงกัน ไม่ใช่พูดอยางโน้นทีอย่างนี้ทีกันตามอําเภอใจของแต่ละคน แบบเห็นไม่ครบ รู้ไม่จริง หรือขาดๆ เกินๆ ด้วยประการใด ก็จําเป็นที่องค์ศาสดา ต้องเป็นผู้ตรัสนําด้วยพระองค์เองก่อน
ดังเช่น เมื่อพระพุทธองค์ตรัสตอบ พระเจ้าอชาตศัตรู ซึ่งมีที่มาใน “สามัญญผลสูตร” ว่าถ้าทําตามคําสอนของพระพุทธเจ้าแล้วจะไดอะไร? หรืออีกนัยคือพระองค์เองมีดีอยางไร? จะให้แก่เหล่าสาวก ท่านก็จาระไนคุณลักษณะสามัญแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน ซึ่งเหมือนๆกันทุกพระองค์อย่างละเอียด ก่อนจะแสดงถึงผลที่สาวกปฏิบัติได้กันเป็นปกติ
หรืออย่างเช่นใน “ปุญญาภิสันทสูตร” ที่พระองค์แสดงห่วง กุศลอันเป็นเหตุให้ไปสู่สวรรคและนิพพาน ท่านก็ตรัสทิ้งท้าย จาระไนความประเสริฐแห่งธรรมะ ตลอดจนความเป็นสาวกผู้ปฏิบัติชอบ คือ ธรรมะเป็นสิ่งที่ผู้บรรลุพึงเห็นเองได้ไม่จํากัดกาลเวลา อริยสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติตามอย่างดีแล้ว ย่อมเป็นนาบุญแห่งโลก เป็นต้น
สรุปว่า การสวดอิติปิโสนั้น ก็คือ การท่องในสิ่งที่คนยุค พุทธกาลพากันกล่าวขาน สรรเสริญพระคุณลักษณแห่งพระศาสดา ตลอดจนพรรณนา ว่าธรรมะกับพระภิกษุสงฆ์แห่งพระองค์ควรแก่ การน้อมปฏิบัติและต้อนรับกราบไหว้เพียงไร อานิสงส์ของการพร่ําสวดอิติปิโส จึงเหมือนกับที่เหล่าคนในสมัยพุทธกาลท่านได้รับกัน นั่นคือ มีใจเปิดรับ พุทธคุณ ธรรมคุณ ความสว่าง ความชื่นบานแก่จิตใจได้ไมจํากัด
ขอบคุณสิ่งดีๆ จากคุณดังตฤณ Dungtrin