ฉันเป็น “เด็กกำพร้า” และได้ถูก “ชายปัญญาอ่อน” เก็บมาเลี้ยง จนถึงวันหนึ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป…

0

ฉันเป็น “เด็กกำพร้า” และได้ถูก “ชายปัญญาอ่อน” เก็บมาเลี้ยง จนถึงวันหนึ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป…

พี่ชายมีอาการปัญญาอ่อนเล็กน้อย เหตุมาจากตอนเขาอายุสองขวบมีไข้สูงมากก็เลยส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมอง แต่เขาไม่ได้โง่ เนื่องจากเขาเป็นคนจิตใจดี คนรอบๆตัวเขาก็เลยดีกับเขามาก แต่ครูใหญ่กลับไม่ชอบเขา แม่ต้องไปขอร้องที่โรงเรียนตั้งหลายรอบ กว่าครูใหญ่จะยอมให้พี่ชายเข้าเรียน และเพราะแม่ไม่อยากให้พี่อยูบ้านคนเดียว เพราะงั้นทุกวันพี่ต้องไปตลาดกับพ่อแม่ ค่ำๆถึงได้กลับบ้าน

วันนั้นตอนเช้าตรู่พี่ชายได้ยินเสียงร้องของเด็กทารก เขาเดินตามเสียงไปถึงหน้าร้านขายข้าวสาร ก็เห็นฉันที่นอนอยู่บนผ้าห่ม สมองของเขาค่อนข้างช้า ไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ก็เลยวิ่งไปตามแม่มา พอแม่เห็นตอนแรกก็สงสาร ต่อมาก็ดีใจ แม่รีบอุ้มฉันขึ้นมาพร้อมจูบไปหลายที แล้วบอกพี่ว่า : “นี่เป็นเพราะสวรรค์สงสารลูก ก็เลยส่งน้องสาวมาอยู่เป็นเพื่อน” พี่ไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนแปลว่าอะไร แต่เห็นเด็กเล็กๆน่ารัก เห็นแม่ดีใจ เขาก็พลอยยิ้มไปด้วย ในใจเต็มไปด้วยความสุข

ปีนั้นพี่อายุ 10 ขวบ ฉันยังไม่ถึงหกเดือน

นับแต่นั้นมา พี่ก็อยู่ข้างๆฉันมาโดยตลอด แม้ว่าสมองเขาจะทำงานช้า ทำอะไรงุ่มง่าม แต่เขารักน้องสาวที่ฟ้าส่งมาให้มาก ฉันที่ค่อยๆเติบโตขึ้นก็ติดพี่มากขึ้นเรื่อยๆ ฉันเป็นคนอารมณ์ร้อนและสิ่งที่ทนไม่ได้เลยคือเวลาได้ยินคนพูดถึงพี่ในทางไม่ดี แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจพูดก็ไม่ได้ วันนั้นพี่ชายเห็นกระเป๋าตังค์ของคนข้างหน้าตก ก็รีบเก็บขึ้นมาแล้วตะโกนเรียกพร้อมรีบวิ่งไปคืนเขา เจ้าของกระเป๋าตังค์ก็เลยซื้อไอติมให้พี่เป็นการแสดงความขอบคุณ ตอนนั้นไอติมเป็นของราคาแพง พี่เสียดายถ้าจะต้องกินคนเดียว ก็เลยรีบถือไอติมวิ่งกลับมาบ้าน แต่วันนั้นอากาศร้อนมาก พอเขาวิ่งมาถึงบ้าน ก็แทบจะเหลือแค่ไม้ เขาเสียใจมาก ตำหนิตัวเองว่าวิ่งช้า เพื่อนที่มาเล่นบ้านฉันพอดีหัวเราะเยาะพี่แล้วว่า : “ไม่รู้ว่าไอติมมันละลายได้หรือไง คิดว่ามันทำจากเหล็กหรอ โง่จริง….” พูดยังไม่ทันจบ ฉันก็ควันออกหู เดินไปผลักเพื่อนจนล้มลง แล้วว่า : “จำไว้นะ นี่พี่เรา ถ้าเราได้ยินเธอว่าพี่เราโง่อีก เห็นดีกันแน่” คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองด้วยความตกใจ พี่ชายที่ยังถือไม้ไอติมยืนคิดอยู่นาน ก็ยังไม่เข้าใจว่าฉันโกรธอะไร

ปีนั้นพี่อายุ 18 ปี ฉัน 8 ขวบ

พอขึ้นม.ปลาย ฉันก็เริ่มเปล่งรัศมีความสวย ก็เลยมีคนมาจีบ แล้วประตูหัวใจก็ค่อยๆเปิดออก ฉันคบกับหนุ่มโดดเด่นคนนึงในโรงเรียน ความรักทำให้ฉันลืมพี่ชายไป ใส่ใจเขาน้อยลงไปมาก แม้แต่พี่ก็ดูออกว่าฉันที่ชอบเหม่อยิ้มคนเดียวเปลี่ยนไปจากเดิม จนเขาถามว่าเป็นอะไร แต่ฉันก็โกหกพี่ว่าเป็นเพราะเรื่องเรียน เขาได้ยินก็ไม่กล้ารบกวน เพราะสำหรับเขาแล้ว การศึกษาของน้องสำคัญมาก

แต่อยู่ดีๆวันนึง ฉันก็ไปเห็นว่าแฟนฉันไปเดินจับมือถือแขนกับผู้หญิงคนอื่น ใจฉันเหมือนจะขาดเป็นชิ้นๆ ฉันเดินร้องไห้กลับบ้านอย่างไม่อายใคร พอพี่ชายเห็นแบบนั้น ก็ตกใจมาก ถามฉันยกใหญ่ แต่ฉันไม่แม้แต่จะสนใจพี่ เอาแต่ร้องไห้โฮ แล้วตะโกนไล่พี่ออกไป

พี่ชายไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยไปถามจากเพื่อนฉัน เพื่อนบอกว่าฉันโดนผู้ชายเท พี่ไม่เข้าใจว่า “เท” แปลว่าอะไร เพื่อนก็เลยบอกว่ามีคนมาแกล้งน้องสาวพี่ เขาได้ยินก็โกรธมาก ใครบังอาจมาแกล้งน้องสาวสุดที่รักของเขา ก็เลยถามที่อยู่หนุ่มคนนั้นมา แล้วไปหาถึงบ้าน แต่พี่ชายที่แม้แต่เวลาพูดยังเงอะงะ จะไปเอาเรื่องใครได้ ก็เลยถูกเขาต่อยกลับมาแทน

ปีนั้นพี่ชายอายุ 28 ปี ส่วนฉัน 18 ปี

พ่อแม่เสียไปแล้ว ฉันจบมหาลัยแล้วทำงานในบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่ง และกำลังมีความรัก แต่ในใจของพี่ชายยังแสนไร้เดียงสา เขาคิดว่าแค่เขามีน้อง น้องมีเขาก็เพียงพอแล้ว เขาไม่เคยคิดว่าสักวันนึงจะมีคนมาแย่งเอาน้องสาวไป เขาก็เลยเกลียดคนนั้นมาก จนถึงวันนั้น เขาเห็นฉันซบลงบนบ่าของผู้ชายคนนั้นบอกว่าขอโทษ บอกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่สามารถไม่สนใจพี่ชายแล้วไปมีความสุขคนเดียวได้ พี่ชายยืนฟังอยู่ตรงนั้น ในใจเขาคิดมาตลอดว่าแค่เขากับน้องสองคนก็มีความสุขแล้ว แต่สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่ ที่แท้การทำให้ตัวเองมีความสุขโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นก็คือการเห็นแก่ตัวหรอ? งั้นเขาก็ไม่ควรเห็นแก่ตัวแล้วใช่มั้ย? ถ้าน้องสาวอยู่กับชายคนนั้นแล้วมีความสุข เขาก็ควรต้องมีความสุข ไม่ใช่หรอ? แล้วเขาก็บอกตัวเอง “มีคนมารักน้องเพิ่ม ต้องดีใจสิ” คิดได้ดังนั้นเขาก็ดึงเอามือฉันไปส่งให้ชายหนุ่มคนนั้น ชายหนุ่มสัญญาว่าจะดูแลฉันเป็นอย่างดี พี่ก็ยิ้มอย่างดีใจ

ปีนั้นพี่ชายอายุ 38 ปี ฉันอายุ 28

วันนั้น ตอนแรกฉันบอกว่าจะกลับบ้านไปหาพี่ แต่อยู่ดีๆก็ปวดท้อง ก็เลยไปโรงพยาบาลจนเวลาล่วงไปถึงตอนบ่าย พี่ถึงได้รับสายฉันจากโรงพยาบาล แล้วรู้ว่าฉันป่วย เขารีบวิ่งมาที่โรงพยาบาลทันที ด้วยความที่อยากให้ถึงโรงพยาบาลเร็วๆก็เลยไม่ระวัง เขาวิ่งออกไปขณะที่ยังเป็นไฟแดง รถที่วิ่งมาจากอีกด้านขับโดยคนขับมือใหม่ก็ไม่ได้ลดความเร็วขณะข้ามแยก ปรากฏว่าพี่ชายโดนรถชนกระเด็นไปหลายเมตร

ตอนที่ฉันได้ยินข่าว แล้วรีบไปที่ห้องฉุกเฉิน คุณหมอก็ส่ายหน้าแล้ว ฉันแทบหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะยืน พยายามประคองตัวเองเดินเข้าไปดูพี่ ร่างกายพี่เต็มไปด้วยเลือด แต่ดวงตายังสดใส พี่เก็บลมหายใจสุดท้ายไว้รอฉัน พอเห็นฉันเดินเข้าไป พี่ก็หายใจเฮือกสุดท้าย ปิดตาลง แล้วจากไป

ปีนั้นพี่ชายอายุ 48 ปี ส่วนฉัน 38

ขอขอบคุณ : ยินดีแบ่งปันสิ่งดีๆ

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่