อ่านให้จบนะ..แล้วจำไว้ “ว่าอย่าไปดูถูกใคร”

0

อ่านให้จบนะ..แล้วจำไว้ “ว่าอย่าไปดูถูกใคร”

“ไม่ว่ารวยหรือจน ทุกคนล้วนต้องการศักดิ์ศรีเหมือนกัน”

ฉันเป็นครูมัธยมของโรงเรียนดังประจำมณฑล พักอาศัยอยู่ในหอพักของโรงเรียนพร้อมสามี

วันนี้มีนักเรียนหญิงพาผู้ปกครองมาเยี่ยม พ่อเขาอุตส่าห์ถีบรถจักรยานระยะทาง 40 กม. จากบ้านมาเยี่ยมลูกสาวซึ่งเป็นนักเรียนประจำ

“ก็เลยถือโอกาสมาสวัสดีคุณครูด้วยครับ” พ่อเขากล่าวด้วยความสุภาพ “บ้านนอกก็ไม่มีอะไรจะมาฝาก มีแต่ไข่ไก่สดๆมาฝากคุณครูครับ”

พอแกะห่อผ้าที่ประคองมาอย่างทะนุถนอมออก ในห่อผ้ามีแกลบรองรับไข่ไก่อยู่สิบกว่าฟอง มองดูก็รับรู้ได้ว่า ตั้งใจห่อหุ้มมาอย่างระมัดระวัง คงเพราะกลัวไข่ไก่จะแตก ฉันน้อมรับด้วยความขอบคุณ

ฉันบอกว่ากำลังจะห่อเกี๊ยวทานกัน ก็เลยชวนอยู่ช่วยกันห่อเกี๊ยวแล้วทานมื้อเที่ยงด้วยกัน พ่อลูกตกใจรีบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ ฉันเลยต้องขอร้องให้อยู่ตามคำเชิญชวน

ตอนทานเกี๊ยวด้วยกัน ทั้งคู่ก็ยังเคอะเขินและเรียบร้อย แต่ดูรู้ว่าดีอกดีใจเป็นปลื้มมาก

หลังจากทั้งคู่กลับไปแล้ว สามีแสดงสีหน้าประหลาดใจ ปกติฉันมักจะปฏิเสธไม่ค่อยยอมรับของฝากจากใครๆแบบง่ายๆ แต่วันนี้มาแปลก ถูกสยบด้วยไข่ไก่สิบกว่าฟอง ซ้ำยังเชิญชวนให้อยู่ทานเกี๊ยวด้วยกัน

มองดูแววตาที่ฉงนของสามี ฉันได้แต่ยิ้ม แล้วก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนให้ฟัง

ตอนฉันอายุ 10 ขวบ จีนยุคนั้นยังถือว่าอยู่ในยุคขัดสน มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อมีธุระด่วนต้องโทรศัพท์ไปหาคุณลุงที่อยู่ต่างถิ่น สมัยนั้นโทรศัพท์เป็นของหายาก ไปรษณีย์หมู่บ้านแทบจะเป็นที่เดียวที่สามารถใช้บริการนี้ได้

ตอนนั้นมันมืดแล้ว พ่อลูกต้องเดินไปในความมืด ไปรษณีย์อยู่ห่างจากบ้านเราประมาณ 5 กม.

บนบ่าฉันแบกลูกสาลี่ที่เพิ่งเด็ดลงมาจากต้นมา 7 ลูก นั่นเป็นต้นสาลี่ที่พ่อตั้งใจปลูกมาเป็นเวลา 5 ปีเต็ม และปีนั้นเป็นปีแรกที่มีลูกสาลี่ติดอยู่ 7 ลูก

น้องสาวฉันรดน้ำต้นสาลี่ทุกวัน รอวันรอคืนให้มันออกลูก และแล้วสาลี่ทั้ง 7 ลูกก็ถูกเด็ดลงมาในชั่วพริบตา
น้องสาวฉันตาแดงกล่ำร้องไห้ทันทีโวยวายเป็นการใหญ่เมื่อรู้ว่าจะเอาไปฝากคนอื่น พ่อตวาดเสียงดังปรามไปว่า “มีธุระต้องไปไหว้วานเขา จะไปมือไม้เปล่าได้ไง”

ไปรษณีย์ปิดทำการไปแล้ว เจ้าหน้าที่เป็นญาติห่างๆมีศักดิ์เป็นคุณอาฉัน ตอนเข้าไปในบ้านเขา ครอบครัวเขากำลังกินข้าวอยู่ พ่อบอกวัตถุประสงค์ที่จำต้องมารบกวน คุณอาแค่พยักหน้า ไม่พูดอะไร ไม่เชื้อเชิญให้นั่ง

ฉันกับพ่อยืนรออยู่ที่ประตู เสื้อผ้าเก่าๆของเราพ่อลูกดูหมองไปถนัดตาภายใต้แสงไฟที่สว่างในบ้าน รอจนเขาค่อยๆกินข้าวอย่างใจเย็นจนเสร็จ “เอาเบอร์โทรมา รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวจะลองโทรให้” ท่าทางยะโส น้ำเสียงเย็นชา

ครู่ใหญ่ๆผ่านไป เขาเดินกลับมา “โทรให้แล้ว ทางนู้นรับรู้เรียบร้อย ค่าโทร 1 หยวนครึ่ง”

พ่อรีบควักสตางค์ออกมาจ่าย แล้วให้ฉันเอาสาลี่ส่งมอบให้เขา พอแกะลูกสาลี่ออกจากห่อผ้า ไม่คิดว่าเขาจะรีบสะบัดหลังมือเป็นระวิงให้เราพ่อลูก ท่าทางคล้ายกำลังไล่ขอทานที่มายืนอยู่หน้าบ้าน “ไม่ต้อง ไม่เอา ที่นี่มีเยอะแยะ ไปดูคอกหมูหลังบ้านสิ หมูยังไม่ยอมกินเลย เอาคืนไป” แววตาและน้ำเสียงช่างเต็มไปด้วยความดูถูก เหยียดหยัน

ศักดิ์ศรีของคนจน ช่างไม่มีราคาเอาเสียเลย

ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันเดินตามหลังพ่อ กอดห่อสาลี่ไว้แน่น น้ำตาซึมมาตลอดทาง

เพียงเพราะเราจน ความผูกพันฉันเครือญาติก็จืดจางไปด้วย เพียงเพราะเราจน จึงไม่คิดจะช่วยถนอมศักดิ์ศรีให้เราบ้างเลย

ท่าทีสะบัดหลังมือเป็นระวิงแบบรำคาญในวันนั้น ประกอบกับสายตาและน้ำเสียงที่ดูถูก เหยียดหยัน เป็นภาพที่ฝังลึกอยู่ในใจของเด็กอายุ 10 ขวบอย่างฉันไม่มีวันลืม

วันนี้ ฉันจึงไม่มีทางที่จะปฏิบัติแบบเดียวกับที่ฉันเคยได้รับเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เด็กผู้หญิงคนนี้มีภาพติดลบอยู่ในใจเขาไปตลอด

ของบางอย่าง ในสายตาของคนบางคน อาจไร้ค่าเหมือนเศษผักเศษหญ้า แต่สำหรับคนบางคน มันคือของล้ำค่าที่มาจากความตั้งใจของเขา

ฉันเชื่อว่า เหตุการณ์ในวันนี้ จะมีแต่ความประทับใจจากจิตใจที่เปี่ยมรักของฉัน คงสามารถสร้างความรู้สึกดีๆในความตั้งใจของลูกศิษย์และพ่อของเขา

ไม่ว่ารวยหรือจน ทุกคนล้วนต้องการศักดิ์ศรีเหมือนกัน

ขอบคุณข้อมูลจากคุณ “ขจรศักดิ์”

ขอขอบคุณ : fungtumpost

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่