ผมเลิกงานเร็วเพื่อไปรับลูกจากบ้านแม่ยาย ในห้องกลับมีเสียง “พลอดรัก” พอเปิดเข้าไปผมก็ต้องรีบอุ้มลูกออกมาอย่างเขินๆ

0

ผมเลิกงานเร็วเพื่อไปรับลูกจากบ้านแม่ยาย ในห้องกลับมีเสียง “พลอดรัก” พอเปิดเข้าไปผมก็ต้องรีบอุ้มลูกออกมาอย่างเขินๆ

ตอนที่แม่เสียผมเพิ่งจะหกขวบ พ่อไม่แต่งงานใหม่เพื่อผม เพราะตอนนั้นแค่พ่อแนะนำใครเข้าบ้านผมก็จะร้องไห้โวยวาย หลายๆครั้งที่พ่อนัดใครไปเจอ แต่ก็ต้องผิดนัดเพราะผมไม่ยอม ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าพ่อแต่งงานใหม่ พ่อจะต้องทิ้งผมแน่ๆ บวกกับมีเพื่อนคนนึงในห้องเรียนที่โดนแม่เลี้ยงตี หยิก เนื้อตัวเขียวเป็นจ้ำๆ ผมก็เลยตัดสินใจไม่ยอมให้พ่อมีเมียใหม่เด็ดขาด นับจากนั้นพ่อก็ไม่เคยพูดเรื่องหาแม่ใหม่ให้ผมอีกเลย

เพื่อที่จะส่งเสียให้ผมเรียนมหาลัย ไม่ง่ายเลยสำหรับพ่อ บ้านเราประหยัดมากจะกินหมูกินไก่กันก็เฉพาะตอนตรุษจีนเท่านั้น หรือถ้ามีญาติมีเพื่อนมา พ่อก็จะซื้อมาแค่พอไม่น่าเกลียด

ผมสอบเข้ามหาลัยได้ด้วยคะแนนสูงมาก พ่อก็เลยฆ่าไก่ตัวเดียวที่เลี้ยงไว้ออกไข่เพื่อฉลองให้ วันนั้นผมกินอย่างเอร็ดอร่อยแต่พ่อกลับซดแค่น้ำแกง อ้างว่าฟันเพิ่งจะหลุดไป ไม่สามารถเคี้ยวเนื้อไก่ได้ ผมตักให้พ่อก็ไม่กิน แต่พอผมกลับมาจากเดินไปเอาของ กลับเห็นพ่อแทะกระดูกที่ผมกินไว้แล้ว น้ำตาผมก็ไหลพรากออกมา นับแต่นั้น ถ้าพ่อไม่กิน ผมก็จะไม่ยอมกินก่อน

พอเรียนจบมหาลัยผมก็ได้งานทำ แล้วก็ได้รู้จักกับรี่ที่ทำงาน เรารักกัน คบกัน และจะแต่งงานกัน เธอกับผมมีชีวิตที่คล้ายๆกัน หลังจากที่พ่อเธอทำงานมีเงินก็ทิ้งแม่เธอไป ตั้งแต่รี่อายุได้ 12 ปีก็ไม่เคยได้เจอพ่ออีกเลย เนื่องจากความคล้ายทำให้เราทั้งสองเรียนรู้และสนิทสนมกันได้เร็ว

หลังจากพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายเห็นด้วย เราสองคนก็แต่งงานกัน รี่รู้ว่าพ่อผมฐานะไม่ได้ดีอะไร ก็เลยไม่เรียกร้องอะไรเลย ตั้งแต่เธอแต่งงานเข้ามา พ่อก็รักเหมือนเธอเป็นลูกสาวคนนึง ทุกครั้งที่เธอกลับบ้าน เธอก็เลยไปเอ่ยชมพ่อผมกับแม่เธอทุกครั้ง

ปีต่อมารี่คลอดลูกสาว พ่อผมไม่ได้เป็นประเภทลำเอียงอยากได้หลานชาย ท่านอุ้มหลานมองแกด้วยรอยยิ้มไม่หยุด หลังจากแม่ยายผมมาถึง พ่อผมก็ทำอาหารเลี้ยงเป็นการใหญ่ พ่อชอบล้อผมเล่นว่า ถ้าได้แม่ยายแกมาเป็นเพื่อนอยู่ด้วยกันคงจะมีความสุขมาก สามีเก่าเธอช่างไม่รู้เลยว่าเธอดีขนาดไหน ถึงมาทิ้งเธอไป

หลังลูกผมครบเดือน แม่ยายก็ให้เมียผมซื้อสมาร์ทโฟนให้เครื่องนึง เมียผมยังกลัวแม่เขาเล่นไม่เป็น ก็แกไม่สอนชั้นนี่

หนูซื้อให้อย่างเดียว ไม่สอน!

แกไม่สอน ฉันให้ลูกเขยสอนก็ได้ ใช่มั้ย ลูกเขย? เห็นแม่ยายขอร้องอย่างนั้น ผมก็จำต้องตอบตกลงไป หลังจากแม่ยายพิมพ์เป็น แกก็เริ่มคุยไลน์ พอลูกๆหลับ แกก็จะเอาโทรศัพท์มาถ่ายเซลฟี่ ส่งรูปให้เพื่อนๆ คุยกับคนอื่น บางทีก็คุยไปหัวเราะไป ผมรู้สึกว่าแม่ยายผมเหมือนวัยรุ่นในร่างคนแก่

ตอนที่ลูกอายุได้เดือนกว่า ผมเลิกงานก่อนเวลาแล้วก็รีบกลับบ้าน ผมตรงไปที่ห้องแม่ยาย ตอนกำลังจะเข้าไปก็ได้ยินเสียงคุ้นๆ พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นคุณพ่อสุดที่รักของผมจับมือแม่ยายผมอยู่ แม่ยายเห็นผมเข้ามาก็หน้าแดง แล้วทักทายผมแบบตะกุกตะกัก : กลับมาแล้วหรอ

โตจนเป็นพ่อคนแล้ว เวลาจะเข้าห้องคนอื่นรู้จักเคาะประตูซะมั่งซิแกนี่ ไม่มีมารยาท พ่อว่าผม

ผมหัวเราะแหะๆแล้วก็อุ้มลูกออกมา ตอนเย็นเมียผมกลับมาบ้าน ผมก็เลยถามเธอ ที่รัก เราหาเพื่อนสักคนให้แม่ดีมั้ย

ได้สิ! ขอแค่เหมาะสม ทำไมจะไม่ได้ ฉันคิดอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว แต่เพราะแม่โดนพ่อทำร้ายจิตใจ ท่านก็เลยไม่กล้าเชื่อใจผู้ชายที่ไหนอีก ถ้าคุณจะแนะนำใครสักคนให้ท่าน ก็อาจจะไม่ง่ายนะ

ที่รัก คุณว่าพ่อผมกับแม่คุณเป็นยังไง? ถ้าให้ท่านทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน จะต้องโอเคแน่ๆ ท่านทั้งสองช่วยกันดูแลหลานจะได้ไม่เหนื่อยมากด้วย คุณว่าไง?

มันก็ดี พ่อคุณก็เป็นคนอารมณ์มั่นคง ถ้าแม่ฉันแต่งกับพ่อคุณ พวกท่านคงไม่ทะเลาะกัน บวกกับทั้งสองก็รู้จักตื้นลึกหนาบางกันแล้ว ถ้าอยู่ด้วยกันคงมีความสุข กลัวก็แต่ชาวบ้านจะนินทา หลานโตมาแล้วจะเรียกยังไง ฮ่าๆๆ

“เรื่องนั้นไม่ยากหรอก…”

พวกเราเพ้อเจ้อคิดไปเอง ถึงพ่อคุณเต็มใจ แม่ชั้นก็อาจจะไม่ยอม!

ที่รัก คุณลืมไปแล้วหรอว่าผมเป็นใคร แค่ผมหว่านล้อมก็เรียบร้อยแล้ว เพียงคุณเซย์เยส ที่เหลือปล่อยเป็นหน้าที่ผมเอง

แล้วผู้ใหญทั้งสองก็จัดงานแต่งกันอย่างง่ายๆในวันที่ 1 เดือนตุลา ใบหน้าของพ่อและแม่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พวกคุณว่าผมทำถูกมั้ย?

เป็นเพียงรูปภาพประกอบเท่านั้น

ขอขอบคุณ : liekr

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่