หนุ่มใจกล้า!! ตัดสินใจซื้อบ้านผีสิง มาพลิกโฉมจนเหมือนบ้านใหม่แบบนี้ อย่างสวย!!

0

หนุ่มใจกล้า!! ตัดสินใจซื้อบ้านผีสิง มาพลิกโฉมจนเหมือนบ้านใหม่แบบนี้ อย่างสวย!!

สวัสดีครับ เรื่องมันมีอยู่ว่า ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบชีวิตอิสระ เดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ใหม่ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ๆ และก็มองหาโอกาศการลงทุนใหม่ๆ ที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต มันจึงเป็นเหตุบังเอิญให้ผมได้พบกับบ้านผีสิงหลังนี้

เรื่องราวมันเริ่มจากที่ผมรักในชีวิตกลางแจ้ง ท่องเที่ยวไปยังป่าเขาลำเนาไพรต่างๆ จนผมได้ค้นพบว่า ไม่มีป่าที่ใดในเมืองไทยที่รู้สึกดิบ ลึกลับน่าผจญค้นหา ไปมากกว่าผืนป่าตะวันตกของประเทศ ที่มีขนาดมหึมาครอบคลุมติดต่อกันหลายจังหวัดต่อเนื่องเข้าไปยังฝั่งของประเทศพม่า ความลึกลับต้องมนต์นี้เอง ที่สร้างแรงบัลดาลใจให้ตัวละครในนิยายเดินป่าอมตะหลายๆเรื่องอย่าง ล่องไพร สมิงไพร และเพชรพระอุมา เข้าไปผจญภัยเสี่ยงโชค ด้วยความหวังที่จะได้เจอสมบัติล้ำค่ากลางป่าลึก ซึ่งสำหรับตัวผมแล้ว สิ่งที่ได้เจอก็คือบ้านหลังนี้นั้นเอง

จำคร่าวๆได้ว่า เมื่อฤดูฝนประมานสามสี่ปีที่แล้ว ผมได้เดินทางท่องเที่ยวไปทางด้านฝั่งซ้ายของแม่น้ำแควน้อย จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเขตอุทยานแห่งชาติผืนใหญ่ ด้วยความที่ไม่คุ้นเส้นและสภาพความเป็นป่าทำให้การจะสอบถามทางจากชาวบ้านทำได้ลำบากเพราะไม่ค่อยจะมีบ้านเรือนเท่าใดนัก จึงได้พึ่งพาการนำทางของเจ้า Google Map ตอนนั้นหลังจากเที่ยวถ้ำละว้าเสร็จก็อยากจะเดินทางต่อไปยังอำเภอทองผาภูมิ นั้นจึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมมาพบบ้านหลังนี้ ผมขับรถตามทาง Google ไปเรื่อยๆจากสภาพสองข้างทางที่เป็นสวนปาล์ม สวนยาง ผ่านหมู่บ้านคนบ้างประปราย ก็เปลี่ยนเป็นป่าทึบในเขตอุทยานแห่งชาติ มีหน้าผาหินปูนสูงชั้นขนาบรอบทิศ แล้วในที่สุดมันก็พาผมมาสุดที่ริมตลิ่งของแม่น้ำแควน้อย ซึ่งสภาพที่เห็นนั้นสะพานในแผนที่มันพังสลายไปนานแล้ว ด้วยความรู้สึกที่ทั้งกังวล ทั้งเจ็บใจ และทั้งกลัว แม้จะเห็นเห็นเสาสัญญานมือถืออยู่ลิบๆ บนหน้าผาฝั่งตรงข้าม ซึ่งหมายถึงโลกแห่งความเจริญเบื้องหน้า แต่เราก็ไม่สามารถข้ามไปได้ จึงต้องตัดสินในย้อนกลับทางเดิม

และเมื่อขณะที่กำลังกลับรถอยู่นั้นเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายปริศนาสีขาวๆแถบน้ำเงินมีตราสัญลักษณ์ธนาคารแห่งหนึ่งห้อยติดอยู่กับต้นไม้รกทึบ จึงพยายามเพ่งเข้าไปทางด้านหลัง ก็เห็นเงาลางๆของสิ่งปลูกสร้างทมึนๆอยู่ใต้เงาไม้ที่รกทึบ จังหวะนี่เองที่สัญชาตญาณดิบของนักลงทุน มันบอกว่าให้ลุยเข้าไปดูให้แน่ซิว่า มันคืออะไร อาจจะเป็นซากเมืองมรกตที่เขาตามหากันในนิยายก็เป็นได้

และนี้คือสิ่งที่ผมเจอครับ

เจอกันสภาพนี้ ถ้าเป็นเพื่อนๆจะสู้ หรือจะถอยดีครับ

เราก็ใจดี สู้เสือ เดินเข้าไปเก็นรายละเอียดในตัวบ้าน เข้ามาถึงตอนนี้ผีไม่กลัวแล้วครับ กลัวงู กับ ต่อแตนมากกว่า

ในใจก็นึก ใครหนอช่างสรรหาทำเล ใจกลางป่าลึกอย่างนี้ ยังมาสร้างเอาไว้ซะอลังการ เดินสำรวจอ้อมมาทางหน้าบ้าน สภาพก็เป็นอย่างที่เห็นครับ มุมนี้เห็นแล้วตกหลุมรักเลย หุ่นเป๊ะ โครงเป๊ะ จับอาบน้ำสักหน่อย ออกมาน่าจะสวยเลย งานคุณภาพโครงสร้างวัสดุยุค 80s อารมณ์ Log Home

เห็นอย่างนี้ปุ๊ป ไม่ไหวแล้วครับ ไม่รอช้า รีบไต่ขึ้นเนินกลับไปที่รถ จดเบอร์ธนาคารโทรติดต่อทันที

พอโทรไปก็แจ้งเจ้าหน้าที่ครับว่าเราสนใจทรัพย์ตัวนี้ของทางธนาคารครับ ขนาดเท่าไร ราคาเท่าไร คำตอบแรกที่ได้ทำเอาใจสลายเลยครับ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ทรัพย์ตัวนี้ระงับการขายชั่วคราว …………………… ไอ้เราก็ใจร่วงลง ไปอยู่ที่ตาตุ่ม ……….นึกในใจว่า อดซะแล้ว…………..แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่จบ บอกว่าที่งดขายชั่วคราวเพระากำลังทำเรื่องขออนุมัติลดราคาพิเศษ เพราะขายไม่ออกมานานแล้ว ……..ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนขึ้นสวรรค์เลยครับ ใจชื้นขึ้นมาหน่อย พระเจ้าเข้าข้างเราแล้ว เขาบอกให้รออีกหนึ่งอาทิตย์ ยอดราคาใหม่น่าจะอนุมัติมา เราก็เตรียมตัวเลยครับ ทองผาภูมิอะไรยังไงไม่ไปมันแล้ว กลับบ้านมานั่งลุ้น เตรียมเอกสารยื่นซื้อ……..เสนอราคาไปต่ำกว่าที่ธนาคารประกาศอีกซักนิดนึง เผื่อฟลุ๊คอนุมัติขายมา

ระหว่างนั้นก็ทำการบ้านครับ สิ่งปลูกสร้าง บ้านสองหลังวัสดุเกรดเอ หลังคามุงกระเบื้องดินขอ ผนังก่อฉาบแล้วกรุไม้หรือหินกาบทับอีกที พื้นคสลใ ปูทับด้วยไม้แดง ถ้าสร้างใหม่สมัยนี้ทั้งของ ทั่งแรงน่าจะทำเอากุมขมับไปเลย

พื้นที่ใช้สอยรวมคำนวนได้ 500 ตารางเมตร ที่ดินขนาด 2 ไร่ 2 งานติดแม่น้ำแควน้อย กดเครื่องคิดเลขได้ดังนี้ครับ

บ้าน 500 ตารางเมตร x 20,000 บาท สภาพ 40% = 4,000,000 บาท
ที่ดิน 2 ไร่ 2 งาน x 500,000 บาท = 1,250,000 บาท
ศาลาริมน้ำ ตกแต่ง Landscape ถือเป็นของแถมไป ไม่ตีราคา

เบ็ดเสร็จ มูลค่ารวม 5,250,000 บาท แต่เสนอธนาคารไปต่ำว่านั้น ระหว่างรอธนาคาร ก็ภาวนาไปครับ เช้าเย็น เช้าเย็น

สามอาทิตย์ผ่านไป ธนาคารผู้น่ารักก็นัดโอน บ้านหลังนี้ก็มาเป็นของเราโดยสมบูรณ์ครับ เมื่อโอนเสร็จก็ได้เวลาเตรียมทัพ เข้าไปจัดการกำจัดสภาพผีสิงให้หมดไปจากบ้านครับ

เมื่อโอนที่ดินเสร็จ ก็ทำให้รู้ประวัติคร่าวๆครับว่าตัวบ้านขออนุญาติปลูกสร้างในปี 2530 ซึ่งอันที่จริงก็พอจะเดาได้จากงานสถาปัติย์ของตัวบ้านครับ ทั้งหินกาบเอย หลังคากระเบื้องดินขอเอย เป็นอะไรที่นำเทรนยุค Post-Modern แห่งยุค 1980’s แบบสุดๆ สมัยนั้นฮิตมาก เหมือนที่ยุคนี้เขาฮิต Loft กัน

สิ่งหนึ่งที่ผมชอบบ้าน อาคารที่ถูกสร้างในยุค 80’s กับ 90’s ต้นๆก็คือ สมัยนั้นเศรษฐกิจมันดีมากครับ และคนส่วนใหญ่ก็คิดว่าสิ่งดีๆเหล่านั้นมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ และจะยั่งยืนตลอดไป ชีวิตมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป แล้วมันก็สะท้อนมาในงานสถาปัตย์ที่ บ้าน อาคารจึงถูกออกแบบให้เสมือนว่ามันจะต้องอยู่ตลอดไป คุณภาพวัสดุที่ไม่มีอั้น แล้วมันก็เลยทำให้อาคารเหล่านี้อยู่มาได้นาน ทั้งๆที่บางครั้งถูกละเลยด้วยซ้ำ ถ้าใครไม่เกี่ยงเรื่องตามแฟชั่น ก็อยากแนะนำให้มองหาบ้านยุคนี้ดูไว้ครับ ราคา VS คุณภาพส่วนใหญ่ถือว่าคุ้มค่าครับ (ปล.มันแล้วแต่คนสร้างด้วยนะครับเรื่องคุณภาพ แต่ส่วนใหญ่จะดี)

เล่าประวัติบ้านเสร็จก็นำเหล่าทหารกล้ามาลุยต่อครับ

สางต้นไม้รอบๆบ้าน เก็บต้นใหญ่ๆหน้า สี่นิ้วขึ้นไปไว้เพื่ออนุรักษณ์ธรรมชาติ เอาเถาวัลย์กับหญ้ารกๆออกก่อน

พอจะมีแววไหมครับ

เมื่อเคลียร์พื้นที่โดยรอบเสร็จ ก่อนจะเริ่มซ่อมแซม เราต้องมากำหนด Theme และอัตลักษณ์ให้บ้านก่อน เพื่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง สำหรับผมแรงบันดาลใจเหล่านี้มักจะค้นหาจากการได้สำผัสกับสถานที่นั้นๆครับ

โจทย์ที่ได้คือ เมืองกาญคือป่า แต่อะไรที่ทำให้ป่าเมืองกาญต่างจากที่อื่น?? ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง ความลี้ลับ เรื่องขุมทรัพย์ที่เขาล่ำลือว่ามันอยู่ในถ้ำที่ไหนซักแห่ง ผสมปนเปกันจนสรุปได้ว่า มันคือป่าของเหล่าหู้กล้า นักผจญภัย และนั้นคือแรงบันดาลใจของบ้านหลังนี้ึครับ มันคือบ้านของ ระพินทร์ ไพรวัลย์, ศักดิ์ สุริยัน และ Indiana Jones

เมื่อ Theme ตกผลึกแล้วก็เริ่มซ่อมได้เลยครับ

หลังจากถางรอยๆบ้านเสร็จก็ เริ่มซ่อมหลังคาครับ เรื่องนี้สำคัญมาก บ้านส่วนใหญ่จะร้างไม่ว่า ขออย่างเดียวอย่าให้น้ำเข้าบ้านครับ จะร้างกี่ปีก็มีแค่ฝุ่นจับ แต่ถ้าน้ไเข้านี่ เตรียมลาโลกได้เลย ซื้อมาปุ๊บจึงต้องรีบซ่อมหลังคาก่อน

กระเบื้องดินขอแบบนี้ราคาต่อตารางเมตรสูงอยู่ครับ เพราะต้องวางแปถี่ และตัวกระเบื้องเองอย่างดีก็ราคาประมาน 7 บาทต่อแผ่น ตารางเมตรนึงใช้ 150 แผ่น เบ็จเสร็จ ค่าของ + แรง ก็ประมาน 1800 บาทครับ เทียบกับลอนคู่ที่ประมาน 200+ บาท และซีแพคที่ 400+บาทต่อตารางเมตร แค่ถ้าใครอยากได้ลุคนี้ ก็ขอแนะนำพวก ตราช้าง ไอยราก็ได้ครับ มุงแล้วดูคล้ายๆกัน เรื่องรั่วซึมก็น้อยกว่า ราคาก็ตกอยู่ประมานที่ 1000+ บาทต่อตารางเมตร อันนี้ถ้าไม่ใช่มากับบ้านอยู่แล้ว ผมก็คงไม่ใช่ครับ ยกเว้น คน ชอบจริงๆ

ด้วยคอนเซปท์ของความเป็นบ้านในป่า แนว Jungle Lodge ผมจึงเลือกใช้ไม้เทียมลายไม้ทำฝ้าครับ

หนึ่งลดปัญหาเรื่องปลวก และสอง ต้นทุนที่ถูกกว่าไม้จริงเกือบสามเท่า และ สามฝ้าเป็นของไกลตา จะใช้จริงหรือเทียมถ้าไม่สังเกตุจริงจัง จะไม่รู้สึกถึงอารมณ์ที่แตกต่างครับเมื่อทาสีแล้ว

ก่อนอื่นพ่นยากันปลวกที่โครงไม้เดิม

จริงๆหลังนี้ซ่อมง่าย และประหยัดมากเลยครับ งานส่วนใหญ่แถบจะเรียกได้ว่าเป็นงาน Cosmetic ไม่มีงานโครงสร้างหนักอะไรเลยให้ต้องซ่อม

งานระเบียงพื้นนี้ น่าจะเป็นงานใหญ่สุดแล้วของหลังนี้ เริ่มด้วยการรื้อไม้ผุๆ เดิมออก เจ้าของเดิมเขาสร้างเป็นระเบียงไม้จริง ยื่นออกมาหน้าบ้านทางฝั่งแม่น้ำ เป็นส่วนโล่ง ไม่มีหลังคาคลุมครับ ระยะเวาลากว่า 30 ปี ต่อให้เป็นไม้เนื้อแข็ง ไม้แดง มันก็ผุกร่อนไปตามการเวลา ของใหม่ผมก็เลยใส่หลังคาโปร่งแสงคลุมไปครับ กะจะปลูกไม้เลื้อย พวกเล็บมือนางให้เลื้อยคลุมให้ร่มเงา

ช่างกำลังรื้อของเดิมออก

ส่วนเรื่องประวัติตัวบ้านไม่มีอะไรมากครับ เขาสร้างไว้สมัยฟองสบู่ฟู่ฟ่า แล้วพอฟองสบู่แตกปี 40 ธนาคารก็ฟ้อง ปี 45 ก็ยึดขายทอดตลาดแล้วก็ร้างตั้งแต่นั้นมา ราคาจำนองตอนแรกสุดสมัยนั้นกับธนาคาร 5,000,000 บาทถ้วนครับ

หลังจากงานหลักๆของตัวบ้านจบ ก็มาทำราวระเบียงครับ ด้วยคอนเซ็ปของบ้านในป่า ยุค 1940s
ผมก็เลยออกแบบให้เป็นการนำไม้ท่อน ขัดเหลาเพียงแค่หยาบๆมาทำราวระเบียง เพื่อที่จะได้ความรู้สึกดิบๆ เป็นบ้านป่าๆ

ทำออกมาก็ได้ประมานนี้ครับ

ขัดๆนิดหน่อย โป๊วด้วยขี้เลื่อยผสมกาวต่อไม้ชนิดผง(มีขายที่ Home……) แล้วทาสีย้อมไม้ก็ออกมาได้แบบนี้ครับ

เรื่องความขี้เหนียวยังไม่จบครับ ไปเดินดูตู้ cupboard อารมณ์ rustic หน่อยๆตามร้านเฟอร์พวก อินเด็กซ์ เอสบี คริสตัล แล้วหน้ามืดกับราคา หลักหมื่นกว่าๆ ไปจนถึงแสนกว่าบาท ไอ้เราเดินไปก็งงไปครับ ว่ามันจะอะไรกันนักหนา บางตัวก็โครงไม้สน ไม้ยางจอยท์ธรรมดาด้วยซ้ำ แล้วก็บังเอิญเจอเพื่อนบ้านเขาจะทิ้งตู้กับข้าวยุค 90s ของเขาอยู่พอดี เลยขอซื้อต่อมาในราคา 800 บาทครับ

สภาพที่ได้มาก็ประมานนี้ ข้อดีของเฟอร์ยุคนั้นก็คือโครงด้านในยังนิยมใช้ไม้สักอยู่ ถึงผิวด้านนอกจะนิยมพวก Formica ที่ไม่ค่อยคงทนเท่าไร แต่ก็ยังดีกว่าของยุคหลังจากนั้นมาที่ เป็นไม้ MDF บ้าง HDF บ้าง ไม้ยางจอยท์บ้าง ที่พอจะเดาได้ว่าไม่น่าเกิน 20 ปีคงต้องหาใหม่

ขอขอบคุณที่มาจาก : สมาชิกหมายเลข 1415794

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่