บทเรียนคนวัย 40 ปีขึ้นไป ที่คิดแก้ไข และได้ออกเตือนคนรุ่นหลัง
สำหรับชีวิตของทุกคน ย่อมมีบทเรียนเป็นของตนเอง และเมื่อก้าวเข้าสู่อายุ 40 ปี ก็เริ่มที่จะคิดอะไรได้มากขึ้น เริ่มที่จะรู้ลึก รู้จริง รู้ว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำ และถ้าหากคุณยังฝืนทำในสิ่งที่ไม่ทำให้คุณมีความสุขแล้วล่ะก็ สุดท้ายแล้วชีวิตของคุณก็จะไม่มีค่า ไม่มีรอยยิ้มและความสุขแน่นอน ดังนั้นแล้วลองปรับเปลี่ยนนิสัยในการใช้ชีวิตกันดู
1 อย่าเสียเวลากับคนที่ไม่ได้ใส่ใจคุณ
ชีวิตของเราลองหัดปฏิเสธคนอื่น และพูดคำว่าไม่ออกไปบ้าง ถ้าหากบางครั้งเข้าร่วมกิจกร ร มหรือออกไปพบปะสังสรรค์กับผู้คน แล้วคุณก็รู้ว่า สุดท้ายแล้วไม่ได้ทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้นเลย เพราะว่าทุกคนนั้นไม่คุ้มค่าพอที่จะเสียเวลาด้วย คุณก็หยุดตรงนี้
– ตอนที่อายุ 20 ปี โลกของเรานั้นได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆให้กับเรา เราได้ยึดติดและรู้จักกับทุกคนมากมาย
– ตอนอายุ 20 ปี โลกก็บอกกับเราเอาไว้ว่า ความสัมพันธ์ดีๆเนี่ยมันหายากมากนะ ฉะนั้นแล้ว ถ้าเราได้เจอมัน ควรที่จะรักษามันไว้ แต่ถ้าเราเจอแล้วไม่ดี ก็อย่าได้เสียเวลา หยุดการฟุ้งเฟ้ออยู่กับที่ โดยที่ไม่ได้กล้าไปไหน
– ตอนอายุ 40 ปี คุณเริ่มที่จะบรรลุแล้วว่า แท้จริงของชีวิต มีเพียงครอบครัว คนที่เรารัก และเพื่อนสนิทไม่กี่คนเท่านั้น ที่พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างกันตลอด นอกจากนั้น คนอื่นก็เข้ามาหวังเพื่อกอบโกยและหวังผลประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น
อย่าได้ทนกับคนที่ปฏิบัติต่อคนไม่ดี อย่าได้ทนกับพวกเขาด้วยเหตุผลที่ว่า มีผลประโยชน์ทางการเงิน การงาน อาชีพ อย่าได้ทนกับพวกเขา เพราะความเห็นแก่ตัวเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรเลย
2 ดูแลสุขภาพแบบจริงๆจัง
ใจเราเนี่ยมันจะรู้สึกว่าตัวเองอ่อนกว่าอายุจริง 10-15 ปี ในขณะที่สุภาพของเราไปเร็วกว่าที่เราคิดไว้มาก ลองสังเกตดูเมื่อวัย 20 ต้นๆ คุณอาจอดหลับอดนอน 1-2 วัน เพื่อไปเที่ยว ทำงานหนัก หรือ ทำกิจก ร ร มต่างๆ ได้โดยไม่มีผลกระทบอะไร แต่เมื่อคุณอายุเริ่มขึ้นเลข 3 แล้ว จะรู้เลยว่าหากใช้ร่างกายหนักๆจะเห็นผลกระทบแน่นอน บางคนกว่าจะรู้ตัวก็กลับมาแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
3 เริ่มต้นเก็บเงินได้แล้ว ก่อนที่มันจะสายเกินไป
เรื่องการเงินมันไม่ใช่เรื่องตลกเลยใช่มั้ย เริ่มต้นวางแผนการเงินของตัวเอง และ วางแผนชีวิตหลังเกษียณได้แล้วตั้งแต่วันนี้เลย หลังจากดูแลสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจ ของตัวเองได้แล้ว ก็อย่าลืมมาดูแลสุขภาพทางการเงินของคุณด้วย
– ทุกวันนี้ต้องกินต้องใช้ ถ้ายังไม่ได้หายใจออกออกมาเป็นแบงก์ร้อยแบงก์พันอย่าฟุ่มเฟือย อย่าสุรุ่ยสุร่าย
– ให้ความสำคัญกับการใช้หนี้ที่มี ดอกเบี้ยสูงให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะดอกเบี้ยบ้านที่สูงอย่างมาก
– แยกเงินสำรองไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน เพราะ เราไม่รู้หรอกว่าในอนาคต เราจะเจอปัญหาแบบไหนบ้าง สุขภาพ , การขึ้นโรงขึ้นศาล , เรื่องธุรกิจ หรือ อื่นๆที่ยากจะคาดเดา
– อย่าลงทุนในสิ่งที่คุณยังไม่เข้าใจมันดีพอ ให้เก็บเงินก้อนเอาไว้ก่อน ศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนลงมือทำธุรกิจอะไร อย่าทำอะไรตามกระแส เช่น ร้านกาแฟ ( จากสถิติธรกิจร้านกาแฟที่คนนิยมเปิดในปัจจุบัน 9 ใน 10 ร้านเจ๊ง ตั้งแต่ปีแรก )
4 หยุดพิสูจน์ตัวเองในเส้นทางที่คนอื่นบอก
– เมื่อยังเล็ก เราจะเข้าใจมาตลอดว่า คนที่เรียนได้คะแนนสูง อันดับดีๆ สอบติดมหาวิทยาลัยดีๆ มีปริญญาหลายๆใบ คือคนเก่ง
– พอโตขึ้นมาหน่อย เราจะเข้าใจว่าคนที่ทำงานเก่ง เงินเดือนสูงๆ หรือ มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตาของสังคม คือคนเก่ง
– มาวันนี้ เราจะเข้าใจเองว่าที่ผ่านมาเราคิดผิดมาตลอด คนที่เก่งจริงคือ คนที่ทำงาน หรือ อาชีพอะไรก็ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงเวลากินก็ได้กิน ถึงเวลานอนก็ได้นอน มีเวลาว่างไปเที่ยวบ้าง มีเวลาออกกำลังกาย มีเวลาให้ครอบครัว มีเวลาอยู่กับเพื่อนๆ และ ตัวเอง คนที่สมดุลในทุกๆเรื่อง ในแบบฉบับของตัวเอง และ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข นั้นแหละ คือ คนที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
5 ดีกับคนที่เขาดีกับเราให้มาก
หลังจากที่เลือกคนที่ดีให้อยู่ในชีวิตแล้ว เราก็ควรที่จะรักษาเค้าไว้ให้ดีด้วย ไม่ใช่ว่าเห็นใครดีด้วยแล้วได้ใจไปเอาเปรียบเขา ใครดีก็ต้องดีตอบ เพื่อรักษาคนดีๆเหล่านั้นไว้ในชีวิตให้นานที่สุด
6 คุณทำทุกอย่างไม่ได้หรอก
โฟกัสแค่สิ่งที่คุณทำได้ แล้วทำมันให้ดีก็พอ ทุกอย่างในชีวิตคือการแลกเปลี่ยน คุณได้บางอย่าง เพื่อเสียบางอย่างไป คุณไม่มีทางได้มันไปทั้งหมด มันเป็นเรื่องที่คุณต้องยอมรับ
เพราะสิ่งที่น่าเสียใจกว่านั้นก็คือ เราใช้เวลาต่อจากนี้อีก 10 ปี อยู่กับสิ่งที่เราไม่ได้ชอบ จากวันเป็นเดือน เป็นปี ลืมตามาอีกทีก็อายุ 50 แล้วมาพบกับ ปัญหาวัยกลางคน เพราะมันคือปัญหาที่เราไม่ได้แก้ไขมันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
7 ไม่ต้องกลัวความเสี่ยงมากก็ได้
ช่วงอายุนี้มันยังเปลี่ยนแปลงได้อยู่ จริงๆ แล้วช่วงอายุ 30-40 เนี่ย เราควรจะมีอาชีพที่ปักหลักแน่นอนแล้ว แต่มันก็ไม่ได้สายเกินไปที่จะเปลี่ยน
8 จงพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
บางคนเลิกเรียนรู้สิ่งต่างๆ เมื่ออายุได้ 20 บางคนพอเข้าอายุ 30 ก็ยุ่งเกินไปที่จะพัฒนาตัวเอง แต่ถ้าคุณคือส่วนน้อยที่พัฒนาตัวเอง และเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ช่วงอายุ 40 จะเป็นช่วงเวลาใหม่ที่คุณจะมีความสุขกับมัน
วอเรน บัฟเฟต เคยบอกไว้ว่า การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดที่ คือการเรียนศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเค้าเอง เพราะเงินมาแล้วก็ไป ความสัมพันธ์บ้างมาแล้วก็ไป แต่ความรู้มันจะอยู่กับคุณตลอดไป
9 รักตัวเอง เคารพตัวเองให้มากๆ
ทำอะไรเพื่อตัวเองในทุกๆ วัน ทำอะไรที่แตกต่างไปบ้างสักเดือนละครั้ง ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่บ้างปีละครั้งก็ดี ลองถามตัวเองดูว่า อีก 5 ปี 10 ปี เรื่องที่เจอ ที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ มันจะสำคัญเมื่อถึงเวลานั้นมั้ย ถ้าไม่ ใช้เวลามันแค่ไม่กี่นาที แล้วก็ปล่อยมันไปเถอะ
ขอขอบคุณ : bitcoretech, Mark Manson, บันทึกนึกขึ้นได้