9 สมุนไพรรักษาสิว ฝ้า กระ ไม่ปวดร้อน สิวยุบ แห้ง ได้ผลจริง

0

9 สมุนไพรรักษาสิว ฝ้า กระ ไม่ปวดร้อน สิวยุบ แห้ง ได้ผลจริง

1. ว่านหางจระเข้ – สรรพคุณ ช่วยลดน้ำหนัก ต้านการอักเสบของผิวได้ ลดอาการแสบร้อนจากแสงแดด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส ชุ่มชื่น ขจัดสิว และมีส่วนช่วยลดการเกิดเม็ดสีผิวเมลานิน จึงลบรอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิวได้ดี

นำวุ้นว่านหางจระเข้ปั่น 2 ถึง 3 ช้อนโต๊ะ + น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ล้างหน้าให้สะอาด พอกหน้า 20 นาที ล้างหน้าให้สะอาด

ทำสูตรนี้ทุกวัน เช้า-เย็น จะสังเกตุได้เลยว่ารอยดำฝ้า กระ จุดด่างดำ ค่อยๆจางลง

2. หัวไชเท้า – มีส่วนประกอบของสารไกลโคไซ ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ช่วยในเรื่องลดรอยดำอย่างฝ้า กระ จุดด่างดำได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอักเสบ จากสิว ทำให้สิวยุบ และแห้งตัวไวขึ้น พร้อมกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยชำระล้างไขมันภายในรูขุมขน ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ให้ผิวหน้าแลดูอ่อนเยาว์ ผิวหน้าแข็งแรงขึ้น

นำน้ำหัวไชเท้าแช่เย็น 3 ช้อนโต๊ะ + ดินสองพอง 1 เม็ด + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมเป็นเนื้อครีม พอกหน้า 15-20 นาที ล้างออกให้สะอาด

หัวไชเท้าสดมีฤทธิ์แสบร้อน หากนำหัวไชเท้ามาพอกสดๆอาจไม่เหมาะกับผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่ายแน่นอน แต่สำหรับใครที่ใช้ได้ก็จะเห็นผลชัดเจนเลยว่ารอยฝ้าจางลงได้จริง

3. ใบบัวบก – สรรพคุณ ช่วยในการสร้างเซลล์ใหม่ให้แข็งแรงขึ้น พร้อมทั้งช่วยในเรื่องระบบไหลเวียนเลือด จึงช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ ทำให้ปัญหาผิวหมองคล้ำที่เป็นรอยฝ้า กระ จุดด่างต่างๆลดเลือนลง

นำใบบัวบก 1 กำมือ + น้ำอุ่นหรือน้ำสะอาด 1 ถ้วย ปั่นให้เข้ากัน กรองน้ำ ใช้สำลีเช็ดหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ 15-20 นาที หรือพอกจนแห้ง ล้างออกให้สะอาด

ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือทำทุกวันที่ต้องการ เท่านี้ก็จะช่วยลดรอยฝ้าได้ดี

4. มะละกอ – สรรพคุณ เอนไซม์ปาเปน แคโรทีน วิตามินซี ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์ผิวได้ดี โดยเฉพาะรอยดำจากสิว รอยฝ้า รอยกระ สามารถลดเลือนลงได้ แถมยังช่วยให้ผิวหน้านุ่มนิ่ม น่าสัมผัส นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสมานแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้

นำมะละกอสุกบด 1/3 ลูก + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา + น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาด นำมาพอกหน้า 20 นาที ล้างออกให้สะอาด

ควรทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ทำต่อเนื่องกันหลายเดือน เพื่อเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่าง

5. มะนาว – สรรพคุณ มีกรดซิดตริก ที่เหมือนสารฟอกสีผิวให้กระจ่างใสมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมีกรด AHA และ วิตามินซี ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดลอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิว พร้อมช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ ให้ขาวใสมากยิ่งขึ้น แถมยังช่วยลดความมัน ลดการเกิดสิว และกระชับรูขุมขนได้ดี

ใช้น้ำมะนาว 2 ลูก + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาด พอกหน้า 15-20 นาที ล้างออกให้สะอาด

ช่วงเช้า-บ่าย ไม่ควรออกแดดทันทีเมื่อพอกหน้าด้วยมะนาว เพราะมะนาวมีกรด AHA ทำให้ไวต่อแสงแดดได้ ทางที่ดีควรพอกหน้าช่วงเวลาตอนเย็น หรือก่อนจะนอน

6. หอมแดง – สรรพคุณ มีฤทธิ์ช่วยลดรอยฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิว เพราะมีสารกำมะถัน วิตามินซี ที่ช่วยลดรอยดำ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ผลัดเซลล์ผิวหมอง ปรับสิวผิวบริเวณนั้นๆให้กระจ่างใส พร้อมลดอาการอักเสบจากสิวได้ดี

ให้ฝานหอมแดงบางๆ แปะที่รอยฝ้า 10 นาที ล้างออกให้สะอาด

ด้วยหอมแดงมีกำมะถัน ทำให้แสบตาหรือแสบผิวได้ จึงควรฝานแล้วแช่ให้เย็นก่อนใช้ เพื่อลดอาการแสบจากหอมแดง

7. มะขามเปียก – สรรพคุณ มี AHA และวิตามินซี ที่มีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิวหมองคล้ำ ลดการเกิดรอยดำฝ้า กระ ลดรอยสิว รวมถึงช่วยทำความสะอาดสิ่งอุดตันในรูขุมขน ลดความมัน และลดการเกิดสิวได้ดี

มะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เป็นเนื้อครีม ล้างหน้าให้สะอาด พอกหน้า 15-20 นาที ล้างให้สะอาด

ด้วยมะขามเปียก มี AHA จึงไม่เหมาะที่จะออกแดดเลยทันที หรือถ้าจำเป็นต้องออกแดด ควรทาครีมบำรุงที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน 15 นาที

8. ใบกระเพรา – สรรพคุณมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี ที่มีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดรอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิวได้

ใบกระเพราะแห้งป่น 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำอุ่น 1 ถ้วย ผสมให้เข้ากัน แล้วใช้สำลีชุบน้ำทาบริเวณที่เป็นกระ ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วล้างออกให้สะอาด ควรทำทุกวัน เช้า-เย็น

9. ขมิ้น – สรรพคุณ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เกลือแร่ต่างๆ ที่มีสรรพคุณทางยาที่รักษาอาการและโรคหลายชนิด โดยเฉพาะรักษาโรคเกี่ยวกับผิวหนังอย่าง สิว ฝ้า กระ กราก เกลื้อน และแผลต่างๆ

ผงขมิ้นชัน 1 ช้อนชา + น้ำมะนาวสด 1 ช้อนชา + นมสด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน นำมาพอกหน้า หรือนวดจุดที่มีรอยดำ 15 นาทีขึ้นไป หรือทิ้งไว้จนแห้ง ล้างออกด้วยน้ำอุ่น กระชับผิวด้วยน้ำเย็น

เพื่อให้ผลลัพธ์ดีขึ้น ควรทำทุกวัน หรือสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

แหล่งที่มา : โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากรพะราชดำริ,โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร

เรียบเรียงโดย : Postsod

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่