ประทับใจ เรื่องเล่าชีวิตลูกชาวนา ที่ได้มาเรียนเมืองนอก

0

ประทับใจ เรื่องเล่าชีวิตลูกชาวนา ที่ได้มาเรียนเมืองนอก

เราคิดจะไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่จบ ม ปลาย ละค่ะ

แต่ที่บ้านพ่อแม่ทำไร่ทำนา ไม่ค่อยมีตังค์ แถมตัวเองก็ไม่ได้เรียนเก่งขนาดสอบชิงทุนได้ ทุนคิง ทุนไปเรียนญี่ปุ่น ฯลฯ ไปสอบมาหมดละแต่ก็ไม่ได้ เป็นแค่เด็ กบ้านนอกธรรมดาๆ เรียนกลางๆ ทุนพวกนี้มีไว้ให้หัวกระทิของประเทศเท่านั้น

เราไม่มีอะไรไปสู้เด็ กที่มีพร้อมทั้งครอบครัว เงิน โอกาส ไปสอบกับเขาก็เหมือนไปช่วยเขาออกตังค์ค่าสนามสอบ กลับบ้านมือเปล่าทุกรอบ

การได้ไปเรียนเมืองนอกสมัยนั้นก็เป็นเหมือนฝันกลางวัน ก็เลยทำใจ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คิดว่าไปต่างประเทศไม่ได้ก็เอาดีมันในประเทศนี่แหละ

พอเรียนจบ ม ปลาย เราก็เหมือนเด็ กไท ยทั่วๆ ไป เข้าเรียนมหาลัย พิชเรียนวิศวะ ฬ นะคะ หลายคนอาจบอกว่า หูยเรียนจุฬา ต้องเก่ง ไม่เก่งหรอกค่ะแต่เอาความขยันเข้าสู้ สอบติดคนกลางๆ ค่อนไปทางท้ายๆ ของคณะ

คือการสอบเข้าสมัยนั้นอ่ะ มันเอาหลายอย่างเข้ามาคิด เช่น เกรดจบ เอาจริงแต่ละ รร ก็ตัดเกรดโหดไม่เท่ากันละใช่มะ (พิชเองมาได้ตรงนี้ช่วยเยอะ เพราะพยายามตั้งใจเรียนในห้อง) นอกจากนั้นก็มีสอบเลข ภาษาอังกฤษ ภาษาไท ย เค มี ชีวะ สุขศึกษายังเอาคะแนนมานับรวมเลย ส่วนนึงก็คือโชคช่วยด้วย อ่านหนังสือไปตรงกับข้อสอบ

อีกอย่าง คือ ม ปลายพิชพยายามไม่เหลวไหลด้วย เพราะว่าเดิมพันมันสูง ถ้าไม่ตั้งใจเรียน เข้ามหาลัยดีๆ ไม่ได้ ก็จะไม่มีอะไรในชีวิต อาจจะต้องกลับบ้านนอกมาช่วยที่บ้านทำไร่ไถนา หรือ ต้องเป็นสาวโรงงาน หาเช้ากินค่ำ อันนี้ขอออกตัวว่าไม่ได้ดู ถูกอาชีพนะคะ แต่อยา กยกระดับชีวิต อย ากมีโอกาสดูแลที่บ้านดีๆ ได้

ตอนเรียนเลยพยายามตั้งใจทำให้ดีที่สุด เพื่อนบางคนไม่เข้าใจเขาก็หมั่นใส้ ว่าเราเป็นเด็ กเนิ้ด เห็นแก่ตัวมนุษยสัมพันธ์แย่ ฯลฯ พอโดนว่าสิ่งที่เราทำอันดับแรกเลยคือพิจารณาตัวเองว่าที่เขาว่ามาอ่ะจริงไหม อันไหนจริงเราก็ปรับแก้ อันไหนไม่จริงเราก็ปล่อยผ่าน เพื่อนก็เลือกคบคนที่เขาเข้าใจเรา

ส่งผลให้ตอนเรียนมัธยมไม่ค่อยมีเพื่อนเลย แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก พยายามโฟกัสไปกับการเรียน เพราะว่าในขณะที่คนอื่นมาว่าเราเนิ้ด ไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ เขาไม่ได้มาส่งเราเรียนหนังสือ ถ้าไม่ตั้งใจแล้วโตไปเอาตัวไม่รอดเขาก็ไม่ได้มาเดือดร้อนกับเราหรอก

คนอื่น ต้นทุนเขาสูงกว่าพิช เรียนๆ ไป จบมาเกรดกลางๆ ไปทำมาหากินอะไรไม่รอด เขาก็อาจยังมีคนคอยช่วย เงินขาดมือมาที่บ้านเขาก็ซับพอร์ตได้ แต่สำหรับพิชคือไม่ได้ เพราะเราเป็นความหวังของพ่อกับแม่

มีครั้งนึง เราอยา กจะล้มเลิก ไม่อยา กเรียนมันแล้ว ยิ่งเรียนสูงยิ่งใช้เงินเยอะ แม้จะได้ทุนเล็กๆ น้อยๆ มาช่วยบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังต้องพึ่งที่บ้าน เราสงสารพ่อแม่ที่ต้องทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำส่งเงินให้เราใช้

พ่อบอกกับเราว่า ไม่เป็นไร ลูกมีโอกาสเรียนต้องตั้งใจเรียน พ่อกับแม่อยู่บ้านนอก อดมื้อกินมื้อบ้างก็ยังไหว ขอแค่ลูกตั้งใจ โตไปจะได้มีชีวิตที่ดี

เพื่อนๆ เจอประโยคนี้เข้าไปกล้าล้มเลิกไหมคะ พิชไม่กล้าค่ะ

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พิชไม่ค่อยมีเพื่อนสมัยเรียนมัธยมก็คือ พิชเป็นคนแปลกๆ อันนี้แอบรู้ตัว 555

มีความสนใจ คิดอะไรทำอะไร ไม่เหมือนชาวบ้านเขา ซึ่งในสังคมไท ยเพื่อนๆ หลายคนอาจจะเข้าใจกัน คือมันไม่ค่อยมีที่ยืนให้คนที่แตกต่างเท่าไรหรอก ก็มีถูกบูลลี่บ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร ก็ผ่านมาได้ เพื่อนที่เคยบูลลี่เราบางคนตอนเรียนจบเขาก็มาขอโทษนะ ซึ่งก็ให้อภัยไปหมดแหละ เผลอๆ จำไม่ได้ด้วยใครทำอะไรเราบ้าง 555 จริงๆ เรื่องร้ายๆ เราก็ไม่อย ากจำด้วยแหละ ความโกรธมันไม่ดีกับใครหรอก ถึงเราจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ ถ้ามัวมาถือโกรธ มันก็เราเองแหละที่ทุกข์

พอเข้าไปเรียนมหาลัย ที่วิศวะ ฬ พิชเรียนรู้เยอะมาก นอกจากวิชาชีพวิศวะแล้ว ก็ได้รู้จักมิตรภาพ แก้ปมชีวิตที่คิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีเพื่อนที่เขาจะรักเราในแบบที่เราเป็นหรอก ที่คณะเลยรู้สึกว่าตัวเองมาอยู่ถูกที่ เรียนมหาลัยพิชก็ยังดูเป็นคนแปลกๆ แต่ว่าพิชก็มีเพื่อนสนิท เพื่อนที่ยอมรับในความแปลกของพิช เพราะว่าเพื่อนพิชแปลกกว่า ไม่ช่ายย 555

จริงจังค่ะ พิชเจอเพื่อนที่ยอมรับในสิ่งที่พิชเป็น อาจจะเป็นเพราะว่าที่คณะมีคนหลากหลาย มีตั้งแต่ลูกเศรษฐี ยัน พิช แล้วแต่ละคนก็เคารพในความแตกต่าง สังคมมันกว้างกว่าสมัยมัธยม แต่ละคนก็เห็นโลก เห็นอะไรแปลกๆ มาพอสมควร พอมาเจอพิช เลยไม่ค่อยแปลกมั้ง 555

4 ปี ที่วิศวะ ฬ เป็นครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ดีที่สุดของพิชจริงๆ นะ ช่วงนั้นลืมเรื่องอยา กไปเรียนเมืองนอกไปเลย มาคิดอีกทีนู่นแหละตอนใกล้จะเรียนจบ แต่ก็ได้มาฝันสลายอีกรอบ

คืออย่างงี้ ที่วิศวะ ฬ การสอบเข้าได้ กับ การเรียนจบ นี่คนละเรื่องกันเลยนะคะ พิชเรียนเทอมแรกได้เกรดมา 2 ต้นๆ ตอนแรกช็อคมาก ตามประสาคนเรียนได้เกือบ 4 มาตลอดชีวิต พอเจอเลข 2 เครียดไปเลย แต่มาเทอมหลังๆ เริ่มชิน 555 ตกมีนมั่ง คาบเส้นมั่ง เพื่อนๆ ก็ช่วยกันดึง ช่วยกันติว กว่าจะจบมีติดเอฟมา 2 ตัว แต่จบภายใน 4 ปี แค่นี้ก็ดีใจจะแย่แล้ว เกรดจบพิช 2.5 เองค่ะ อันนี้แหละที่พิชว่า ทำไมฝันสลายอีกรอบ เกรดห่วยๆ แบบนี้เอาไปขอทุนเรียนต่อไม่ได้

พอไม่มีเงินไปเรียนต่อก็ต้องออกไปทำงาน ยังดียังมีใบปริญญาแล้วนะ เราโชคดีจบเกรดห่วยแต่หางานได้ไม่ยาก มีคนเขาเห็นความพยายามเลยให้โอกาส พิชเริ่มทำงานแรกตอนเดือนพฤษภาของปีที่เรียนจบ รับปริญญาทีหลังได้งานอีก

งานแรกที่พิชได้ทำก็ไม่ค่อยตรงสายหรอก พิชออกไปทำวิจัยและพัฒนาบริษัทรถยนต์ค่ายนึง ชื่อฟังเหมือนจะตรงสายออกวิศวะๆ แต่เพราะบริษัทมันใหญ่ มีหน้าที่การทำงานหลากหลาย เราเลยไม่ได้ใช้ความรู้วิศวะที่จบมากับงานเลย ต้องไปเรียนเอาใหม่หมด

ทำงานไปเข้าปีที่ 3 ก็ตัดสินใจลาออกมาแบบไม่มีแผนรองรับ เพราะว่าไม่มีความสุข ไม่ได้บอกว่างานไม่ดีนะคะ งานดีมากเลย เงินเดือนไม่แย่ แถมบริษัทรถยนต์อ่ะ ใครๆ ก็รู้แจกโบนัสที 6 เดือนอัพ แต่ว่าพิชไม่ถูกจริตกับงานแรกเท่าไร งานก็เหมือนแฟนแหละ 555 ถ้าไม่ลงตัวก็ลำบาก ถ้ารู้ว่าไม่ใช่ต้องเอาตัวเองออกมา

ลาออกมาก็ไม่ได้ว่างงานเลยนะ รับจ๊อบตลอด กลัวเงินเก็บหมดไง 555 พิชทำหมดเลยนะตั้งแต่ งานอาสา งานฟรีแลนซ์ งานสตาทอัพ งานบริษัท คือเห็นอะไรทำเงินได้ ทำหมดเลย ขอยืนยันว่าลาออกมาไม่มีแผนรองรับ ลำบากมากจริงๆ ค่ะ แม้จะมีเงินเก็บและเตรียมใจไว้แล้วก็อดเครียด อดกลัว ไม่ได้ แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ให้เลือกลาออกอีกที พิชก็จะเลือกทำเหมือนเดิมนะ เพราะช่วงลำบากๆ นี่แหละ ได้เรียนรู้เยอะมาก เปิดโลก ได้ออกจากคอมฟอร์ตโซนมาลองภูมิ อะไรที่ไม่เคยคิดจะทำก็ได้ทำ

ความคิดเรื่องการเรียนต่อเมืองนอกมันหวนกลับมาหาพิชอีกตอนที่พิชโดนไล่ออกจากบริษัทสตาร์ทอัพจากสิงคโปร์ ด้วยความที่กลัวเงินหมด พิชก็เลยไม่เลือกงาน ใครหยิบยื่นอะไรให้พิชก็ทำหมด มีคนสิงคโปร์ติดต่อมา ให้งานทำ ตำแหน่ง บิวสิเนต เดลเวลลอฟเม้น เมเนเจอร์ ให้เงินเดือน 55000 แล้วให้ค่าคอมเวลาปิดการขายได้อีก

ความพลาดครั้งนั้น คือการไปรับงาน โดยไม่ประเมินตัวเอง พิชมีทำตาร์ทอัพน้ำผลไม้ juice clease ของตัวเองอยู่ เป็นการทำธุรกิจครั้งแรกในชีวิต ใช้เวลาและพลังงานเยอะมาก แล้วพิชดันแบ่งเวลาไม่ได้ พอให้เลือกพิชก็เลือกธุรกิจน้ำผลไม้แหละ เพราะว่ามันเป็นของเรา มันท้าทายกว่า ได้เงินเยอะกว่า

แล้วสไตล์การทำงานของคนสิงคโปร์คือ เขาจ่ายค่าจ้างให้ดี แต่เขาก็คาดหวังกับเราสูง ซึ่งตอนนั้นพิชให้เขาไม่ได้ ทำงานบริษัทสิงคโปร์ไปได้เดือนนึง เจ้าของบริษัทก็โทรมาบอกว่าไม่จ้างต่อแล้วนะ เค้าไม่ได้ว่าอะไรเราหรอก แต่ก็ไม่พอใจแหละ จ้างมา 1 เดือน แต่ไม่ได้ปิดการขายอะไรให้เขาเลย

สิ่งที่ทำให้พิชจุกอกมากๆ ไม่ใช่การโดนให้ออก แต่คือการได้กลับมาเชคมาตรฐานการทำงานของตัวเองอีกครั้ง พิชรู้สึกผิดที่ตัวเองไม่แฟร์กับบริษัทนายจ้าง คิดถึงว่าถ้าเราเป็นเจ้าของบริษัท จ้างคนมา ถ้าทำงานไม่งอกเงยแบบนี้เราก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน ถ้าย้อนเวลาไปได้จะไม่รับทำงานนั้นตั้งแต่แรก จะประเมินตัวเองก่อน มันเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่อันนึงของเราเลยค่ะ

พอโดนให้ออกจากบริษัทสิงคโปร์แล้ว พิชก็ทุ่มไปที่การทำสตาร์ทอัพน้ำผลไม้ มันเป็นสินค้าขายไอเดีย เลยได้กำไรเยอะมาก แต่ความยากมันคืออายุของสินค้า น้ำผลไม้คั้นมาสดๆ แรกๆ ก็อร่อยดี แต่ผ่านไปสักพัก รสชาติจะเปลี่ยน และอยู่ได้ 2-3 วันก็จะเสีย อีกอย่างเพราะมันได้กำไรเยอะ คู่แข่งก็เลยงอกเป็นดอกเห็ด ดูท่าทางแล้วธุรกิจคงอยู่ได้อีกไม่นาน พิชกับเพื่อนที่ทำด้วยกันเลยตัดจบ เคลียร์ของ แยกย้าย

จากวันที่ลาออกมาจนเลิกขายน้ำผลไม้ เป็นเวลา 1 ปีพอดี อย่างที่บอกว่าทำมาเยอะมากในช่วง 1 ปีนั้น พอมานั่งทบทวนว่าจะเอาไงต่อดี ความคิดอยา กไปเรียนเมืองนอกมันก็กลับเข้ามา พอถึงจุดนั้น เงินเก็บเราก็มี ประสบการณ์ทำงานเราก็พอได้ รู้จักตัวเองดีกว่าเก่าเยอะ รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ก็เลยรู้ว่าถึงเวลาไปเรียนต่อแล้วหละ

ตอนแรกพิชอย ากไปเรียนต่อที่เยอรมัน เพราะว่าค่าเรียนถูก แล้วพิชจบวิศวะมา ก็อยา กไปต่อสายเทคนิคนี่แหละ จบมาแล้วจะได้หางานง่ายๆ เพราะอยา กอยู่ทำงานต่อหลังเรียนจบ นอกจากเยอรมันพิชมีเพื่อนอยู่ออสเตรีย เขาก็ชวนให้ดูมหาลัยในออสเตรียด้วย ค่าเทอมถูกเหมือนกัน ใช้ภาษาเยอรมันเหมือนกัน

สรุปพิชสมัครไป 2 ที่ ที่นึงที่แบลิน อีกที่นึงที่เมืองซัลบวกประเทศออสเตรีย สุดท้ายเราเลือกออสเตรียนะคะ เพราะเหตุผลหลายๆ อย่างประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็น คุยถูกคอกับโปรเฟสเซอที่ซัลบวก ชอบสาขาวิชาที่เรียนเพราะว่าเห็นลู่ทางต่อยอด เอาไปหางานทำต่อได้ แล้วก็การที่เราตัวคนเดียว ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนต่างแดน มีเพื่อนไว้เจอปัญหาอะไรก็อาจจะช่วยกันได้

ตอนหน้าพิชจะมาเล่าว่าชีวิตมาถึงเมืองนอกแล้วต้องเจอเรื่องราวอะไร เอาเงินมาเรียนเท่าไร พอใช้ไหม ฯลฯ ถ้ามีคนสนใจมาคอมเม้นบอกกันหน่อยนะคะ

ขอขอบคุณ : สวรรค์บัญชา อายุยืนหมื่นปี

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่