คนที่ชอบ ดื่มน้ำเย็น ต้องอ่าน การดื่มน้ำเย็นแบบนี้ เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากๆ

0

คนที่ชอบ ดื่มน้ำเย็น ต้องอ่าน การดื่มน้ำเย็นแบบนี้ เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากๆ

ร้อนๆ แบบนี้ ไม่ให้ดื่มน้ำเย็นได้อย่างไร จริงไหม? ไม่ว่าจะน้ำเปล่า น้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำชา หรือแม้กระทั่งเบียร์ที่หลายคนก็แอบเติมน้ำแข็งเข้าไปด้วย ถึงแม้ว่าจะแช่เย็นมาจากในตู้เย็นแล้วก็ตาม บางคนอาจเคยได้ยินว่า น้ำเย็นเป็นอันตรายต่อร่างกาย แล้วที่เราดื่มๆ กันอยู่นี่เป็นอันตรายกับร่างกายมากขนาดไหน หรือจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องจริง มาหาคำตอบกันเลย

น้ำเย็น ทำร้ายร่างกายได้อย่างไร?

ถ้าเอาง่ายๆ เลย การดื่มน้ำเย็นจัดในเวลาอันรวดเร็ว อาจทำให้เกิดอาการ brain freeze หรืออาการเย็นจี๊ดขึ้นสมอง ปวดศีรษะไปชั่วขณะได้ (คนที่เป็นโรคไมเกรนจะมีโอกาสเกิดอาการนี้ง่ายกว่าคนปกติ) โดยเป็นกระบวนการของสมองที่สั่งการส่งเลือดมาไหลเวียนที่หลอดเลือดบริเวณที่เย็นจัดอย่างเฉียบพลัน เพื่อทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นอุ่นขึ้น และขยายหลอดเลือดให้ใหญ่ขึ้น จนไปกระตุ้นประสาทส่วนที่รับรู้ถึงความเจ็บปวดไปด้วย จึงเกิดเป็นอาการปวดศีรษะโดยฉับพลันนั่นเองแต่ไม่ต้องห่วง อาการนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที และไม่ส่งผลระยะยาวต่อร่างกายใดๆ ทั้งสิ้น

แต่หากจะพูดถึงอันตรายต่อร่างกายในระยะยาว ก็มีเหมือนกัน การดื่มน้ำเย็นจัด จะทำให้ไตต้องทำหน้าที่กำจัดความเย็นออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว โดยการขับน้ำเย็นออกมาเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ

นอกจากไตจะทำงานหนักขึ้นแล้ว ความเย็นยังทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ไม่ยืดหยุ่น เลือดข้นหนืด เคลื่อนตัวได้ช้าลง และลำบากมากขึ้น ทำให้มีคราบไขมัน และของเสียในเลือดไปเกาะตามผนังหลอดเลือด และอาจสะสมพอกพูนกลายเป็นโรคหลอดเลือดตีบ จนอาจเป็นสาเหตุของอาการผิดปกติของร่างกายดังต่อไปนี้

1. ปัสสาวะบ่อยขึ้น และอั้นปัสสาวะไว้ได้ไม่นาน

2. ปวดหลัง ปวดเอวบ่อยๆ

3. ปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยเฉพาะตามข้อต่างๆ เช่น เข่า ศอก นิ้วมือ ต้นคอ

4. ท้องอืด ท้องเฟ้อ ย่อยอาหารได้ช้าลง เพราะไขมันในอาหารจับตัวเป็นไข กระเพาะอาหารทำงานหนักขึ้น ใช้เวลาย่อยนานขึ้น

5. มีอาการหลอดเลือดตีบ หรือหลอดเลือดแข็ง จนอาจเป็นสาเหตุของโรคเส้นเลือดตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาต และเส้นเลือดตีบที่สมอง

ดังนั้น หากอยากหลีกเลี่ยงอันตรายดังกล่าว ควรดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิห้องแทนการดื่มน้ำเย็นจัด หรือลดการดื่มน้ำเย็นลงบ้าง ทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ควบคุมอาหารจำพวกแป้ง และน้ำตาลให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อปรับการทำงานของอวัยวะภายใน รวมถึงหลอดเลือดให้เป็นปกติค่ะ

กรณีศึกษาของคนไข้ที่มาจากการดื่มน้ำเย็นเป็นประจำ

เมื่อหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาได้พบเจอคนไข้เป็นพี่น้องกันที่ทำให้ผมเศร้าใจ เพราะความประมาทในเรื่องอาหารการกิน ทั้งสองคนเดินเข้ามาพบหมอด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แต่มีหนึ่งคนในนั้นซึ่งเป็นน้องสาว ที่ต้องใช้รถเข็น เข็นเข้ามาพบหมอเพราะร่างกายซีกขวา เริ่มจะอ่อนแรงลง ขาขวายังพอมีแรง ขยับบ้างแต่เดินยังไม่ได้ มือและแขนซ้ายไม่มีแรงเลย เธอเอาแขนขวาหยิบแขนซ้ายโชว์ให้ดู

ผมจับดูกล้ามเนื้อแขนซ้ายเธอ ซึ่งก็เริ่มจะหายไปจนกลายเป็นเนื้อเหลวๆนิ่มๆ อ่านจากในสอบประวัติคนไข้ของพี่น้องทั้งสองคนก็มีพฤติกรรมที่ไม่ต่างกันคือ ทานแต่เนื้อสัตว์ ไม่ทานผักตั้งแต่เด็กๆ ที่สำคัญคือ ดื่มน้ำเย็น เป็นประจำตั้งแต่เด็ก ต้องน้ำเย็นเจี๊ยบจากตู้เย็น น้ำไม่เย็นดื่มไม่เป็น เพิ่งจะเริ่มหันมารับประทานอาหารสุขภาพ ก็เมื่อน้องสาวมีอาการอ่อนแรงครึ่งซีกซ้าย แต่ก็ยังคงมีพฤติกรรมดื่มน้ำเย็นอยู่

ก่อนที่จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้นร่างกายส่งสัญญาณเตือนมาหลายครั้ง เช่น มึนเวียนศีรษะง่าย มีแสงไฟแว๊บๆเวลากระพริบตา การพูดเริ่มติดขัด สุดท้ายมีอาการวูบกระทันหันต้องส่งเข้าโรงพยาบาล เมื่อเธอรู้สึกตัวอีกครั้งซีกซ้ายก็ขยับไม่ได้เสียแล้ว หมอบอกว่านี่คืออาการเส้นเลือดตีบที่สมอง ในวัยเพียง 40 ปีเท่านั้น แล้วจะโทษใครเสียได้ นอกจากตัวของเราเองที่ดื่มแต่น้ำเย็นมาตลอดเวลา

การดื่มน้ำเย็นมากจนเกินพอดี สำหรับคนไทยนั้น ทำให้ไตและกระเพาะปัสสาวะต้องรีบ กำจัดความเย็นออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว ขับน้ำเย็นมากักเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ เตรียมนำออกทางปัสสาวะ ทำให้ผู้ที่ทานน้ำเย็น ก็ยิ่งขาดน้ำ จนเลือดข้นหนืดไปหมด เจ้าเลือดข้นหนืดที่ล่ะครับที่ทำให้หลอดเลือดของเราเริ่มแข็งกระด้าง ไม่ยืดหยุ่น มีของเสียไปยึดเกาะตามผนังหลอดเลือด จนเกิดการพอกพูนกลายเป็น “โรคหลอดเลือดตีบ” ก็เพราะน้ำเย็นที่ดื่มเข้าไปเอง

เธอฟังแล้วหดหู่ใจ ที่แท้ก็เพราะน้ำเย็นแค่นั้นหรือ ที่ต้องทำให้ตนเองตกอยู่ในสภาพกึ่งคนพิการ พี่สาวของเธอที่เข้ามาด้วยกัน สมทบอีกว่า มิน่าล่ะ โรคนี้เป็นทั้งบ้าน ที่บ้านเราชอบกินน้ำเย็นกันทุกคน คุณแม่ของเรา นอนเป็นอัมพฤกษ์อยู่ที่บ้านเช่นกัน เหลือตัวดิฉัน กับพี่ชายอีกคนที่ต้องดูแล เป็นเพราะน้ำเย็นแค่นั้นเองหรือ ไม่น่าเลยจริงๆ หลังจากนั้นผมก็เจอคนไข้ที่ทานน้ำเย็นมากเกินไป จนป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบอีกสองท่าน ภายในวันเดียวกัน เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย
หากใครที่ยังทานน้ำเย็น นมเย็น กาแฟเย็น น้ำอัดลม น้ำหวาน ชาเย็น น้ำผลไม้แช่เย็น อยู่เป็นกิจวัตร ผมต้องขอเตือนแรงๆว่า ให้รีบไปทำประกันโรคหลอดเลือดไว้ได้เลยมีโอกาสได้ใช้สูง

เมื่อเกิดอาการหลอดเลือดในสมองตีบแล้วอย่าเพิ่งท้อแท้ ยังมีวิธีแก้ไขทางธรรมชาติบำบัด คือ

1. ปรับปรุงหลอดเลือดที่แข็งตึงให้กลับมายืดหยุ่นได้ดี ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติ ดื่มน้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ ร่วมกับ กระเทียม หรือ ขมิ้นชัน 1 แคปซูล ก่อนอาหาร เช้าและเย็น 20 นาที

2. ปรับเลือดที่ข้นหนืดให้หายข้นหนืดด้วยการเพิ่มน้ำเข้ากระแสเลือด ทานน้ำเปล่าให้ได้ 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อเติมน้ำกลับเข้าเลือด ทานยาน้ำตรีผลาหรือจตุผลาธิกะ ให้เลือดของเราสามารถอุ้มน้ำได้ดีขึ้น ช่วงแรกต้องอดทนกับการปัสสาวะบ่อยเสียหน่อย

3. ทำให้เลือดไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำในท่าที่สามารถทำได้ หรือใช้การนวดเท้า หรือ นวดตัวช่วยให้เลือดไหลเวียนสม่ำเสมอ

4. งดการทานน้ำเย็นเด็ดขาด

5. งดเนื้อสัตว์ใหญ่ เนื้อวัว หมู ของทอด ของหวานจัด เพราะทำให้ร่างกายเกิดอนุมูลอิสระปริมาณมาก จนหลอดเลือดแข็งตีบตันได้ง่าย
เมื่อหลอดเลือดของเรากลับมายืดหยุ่นได้ดี พร้อมทั้งจัดการกับของเสียที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดได้ เลือดดีจะกลับเข้าซ่อมแซมเซลล์สมองหากสมองส่วนนั้นยังไม่ฝ่อจนใช้การไม่ได้ เราก็ยังโอกาสหายจากโรคเส้นเลือดตีบที่สมองได้ ที่สำคัญคือไม่ควรกลับไปใช้วิถีชีวิตผิดๆอีก

นพ.กฤษดา บอกว่า ใครที่ไม่อยากแก่ ต้องดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น เนื่องจากผิวที่แก่เกิดจากการขาดน้ำ การดื่มน้ำมากๆ ยังช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง แต่ถ้าดื่มน้ำน้อย โดยเฉพาะในผู้ชายอาจทำให้น้ำไปเลี้ยงอสุจิไม่พอ ทำให้อสุจิไม่แข็งแรง และเซ็กซ์เสื่อมได้

ในคนที่มีอาการคล้ายจะเป็นหวัด เช่น ปากแห้ง ตาแห้ง อย่าเพิ่งกินยา ให้ดื่มน้ำมากๆ สักพักจะหายได้ โดยไม่ต้องพึ่งยา ที่เป็นเคล็ดสำหรับคนดื่มเหล้า คือ ถ้ากลัวว่าจะแฮงก์ควรดื่มน้ำตามเข้าไปประมาณ 4 เท่าของเหล้าที่ดื่มก็จะช่วยได้

แต่ละวันเราควรดื่มน้ำมากน้อยแค่ไหน? นพ.กฤษดา บอกว่า ควรดื่มน้ำตามน้ำหนักตัว คือ ดื่มน้ำ 1 ออนซ์ ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ถ้าน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ก็ต้องดื่มน้ำ 60 ออนซ์? โดยน้ำ 1 ออนซ์ก็ประมาณ 30 ซีซี คนน้ำหนัก 60 กิโลกรัม ก็ต้องดื่มน้ำประมาณ 1,800 ซีซี

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : Vaccine Center Vibhavadi Hospital , CareMine ,sanook.com health

 

 

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่