ตำนานสุดสะพรึง !! การสร้าง “เสาหลักเมือง” พิธีฝังคนทั้งเป็นลงหลุม ให้เป็นเจ้ากรรมนายเวรเฝ้าเมืองไปตลอดกาล !!
แม้จะออกอากาศผ่านพ้นมาเนิ่นนานแล้ว แต่ฉากประวัติศาสตร์ฉากหนึ่งของละครเรื่อง “เจ้ากรรมนายเวร” ก็ยังคงติดตาตรึงใจใครหลายคน และเป็นที่พูดถึงกันมาจนถึงปัจจุบัน กับฉากพิธีกรรมการฝังเสาหลักเมือง หรือ เสามหาปราสาท ที่เป็นการนำคนเป็นๆโยนลงไปในหลุม ก่อนจะตัดเชือกปล่อยเสาทั้งต้นตามลงไปปลิดชีวิตคนผู้นั้นให้ตายคาหลุม เพื่อให้เป็นเจ้ากรรมนายเวรเฝ้าเมือง ซึ่งฉากสุดสะพรึงที่ว่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ละคร หรือถูกสร้างขึ้นมาจากจินตนาการของใคร แต่ในหลายๆบทความทางวิชาการที่มีการเผยแพร่โดยทั่วไปนั้น บอกว่าเป็นเรื่องราวที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันมาว่าเป็นตำนานที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์
บันทึกตามตำนาน อิน จัน มั่น คง ได้เผยเรื่องราวที่เล่าสืบกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โบราณถือว่าพิธีสร้างพระนครหรือสร้างบ้าน สร้างเมือง ต้องฝังอาถรรพ์ 4 ประตูเมือง ต้องฝังเสาหลักเมือง การฝังเสาหลักเมืองและเสามหาปราสาท ต้องเอาคนที่มีชีวิตทั้งเป็น ลงฝังในหลุม เพื่อให้เป็นผู้เฝ้าทวารมหาปราสาทบ้านเมือง ป้องกันอริราชศัตรูมิให้มีโรคภัย ไข้เจ็บเกิดแก่เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ผู้ครองนครบ้านเมือง ในการทำพิธีกรรมดังกล่าว ต้องเอาคนที่ชื่อ อิน จัน มั่น คง มาฝังลงหลุม จึงจะศักดิ์สิทธิ์
ขณะที่นายนครวัฒเที่ยวเรียกชื่อ อิน จัน มั่น คง ไปนั้น ใครโชคร้ายขานรับขึ้นมาก็จะถูกนำตัวไปฝังในหลุม หลุมเสาหลักเมืองนั้น จะผูกเสาคานใหญ่ชักขึ้นเหนือหลุมนั้นในระดับสูงพอสมควร โยงไว้ด้วยเส้นเชือกสองเส้นหัวท้ายให้เสาหรือซุงนั้นแขวนอยู่ตามทางนอนเหมือนอย่างลูกหีบ ครั้นถึงวันกำหนดที่จะกระทำการอันทารุณนี้ ก็เลี้ยงดูผู้เคราะห์ร้ายให้อิ่มหนำสำราญแล้ว แห่แหนนำไปที่หลุมนั้น พระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้บุคคลทั้งสามนั้นเฝ้าประตูเมืองไว้ด้วย และให้เร่งแจ้งข่าวให้รู้กันทั่ว เมื่อคนมาชุมนุนกันเขาก็ตัดเชือกปล่อยให้เสาหรือซุงหล่น ลงมาบนศีรษะผู้เคราะห์ร้าย ผู้ตกเป็นเหยื่อของการถือโชคถือลางนั้น บี้แบนอยู่ในหลุม
โดยคนไทยโบราณเชื่อว่าผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้จะกลายสภาพเป็นอารักษ์จำพวกที่เรียกว่า ผีราษฎร คนสามัญบางคนก็กระทำการฆาตกรรมแก่ทาสของตนในทำนองเดียวกันนี้ เพื่อใช้ให้เป็นผีเฝ้าขุมทรัพย์ที่ตนฝังซ่อนไว้
ตัวอย่าง การสร้างราชธานีใหม่ของพม่า เมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจึงมีกำแพงกันสี่ด้าน แต่ละด้านมีประตูเมือง 3 ประตู รวมเป็น 12 ประตูด้วยกัน การฝังอาถรรพ์ก็เป็นคนเป็นล้วนๆ ถึง 52 คน ฝังตามประตูเมืองประตูละ 3 คน 12 ประตูก็เป็นทั้งหมด 36 คน และเฉพาะใต้พระที่นั่งในท้องพระโรงต้องฝังถึง 4 คน
คนที่ถูกฝังทั้งเป็นเพื่อเป็นผีคอยรักษาเมืองและพระราชวังนั้นต้องเลือกให้ได้ลักษณะตามที่โหรพราหมณ์กำหนด ไม่ใช้นักโทษที่ต้องโทษประหาร แต่จะเป็นคนที่อยู่ในวัยต่างๆ กัน มีตั้งแต่คนมีอายุจนถึงเด็กทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทุกคนต้องมีฐานะดีเป็นที่ยกย่องในกลุ่มชน และต้องเกิดตามที่โหรกำหนด ถ้าเป็นชายต้องไม่มีรอยสัก ผู้หญิงต้องไม่เจาะหู เมื่อสั่งเสียร่ำราญาติพี่น้องแล้วก็จะถูกนำตัวไปลงหลุม ญาติพี่น้องก็จะได้รับพระราชทานรางวัล
นอกจากนี้ ในบันทึกของ วันวลิต ชาวฮอลันดาที่เดินทางมาพำนักอยู่ในกรุงศรีอยุธยา สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง กล่าวไว้ในบันทึกของเขาตอนหนึ่งว่า ที่กรุงศรีอยุธยามีพิธีก่อนการสร้างประตูเมืองที่น่าสะพรึงกลัวเรื่องหนึ่งคือ การโยนผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ลงไปในหลุมแล้วตอกเสาลงไปให้ตายทั้งเป็น โดยหวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะกลายเป็นผีรักษาเฝ้าประตูวัง (เมือง)
วันวลิต บันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า “….พระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบันทรงเปลี่ยนประตูทั้งหมด…(ประตูเหล่านี้) ถือเป็นที่ๆ ศักดิ์สิทธิ์ในประเทศสยาม พระเจ้าแผ่นดินทรงสั่งให้โยนหญิงมีครรภ์ 2 คน ลงใต้เสาแต่ละเสา จำเป็นต้องใช้หญิงมีครรภ์ถึง 68 คน สำหรับประตู 17 ประตูนี้…”
อย่างไรก็ตามวันวลิต เล่าต่อไปว่า หลังจากได้นำผู้หญิงตั้งครรภ์ทั้งหมดมาเตรียมการทำพิธีพร้อมแล้ว กลับมีหญิง ๕ คน คลอดบุตรเสียก่อน ทำให้เกิดความสังเวชขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ออกญาจักรีจึงกราบทูลฯ ขอให้ปล่อยผู้หญิงเหล่านั้นไป คงเหลือตัวแทนเพียง ๔ คนเท่านั้น ที่ถูกโยนลงหลุมแทน
วันวลิตยังเล่าอีกว่า ไม่เพียงแต่ประตูวังเท่านั้น การสร้างที่ประทับในพระบรมมหาราชวังก็ได้ทำพิธีนี้เช่นเดียวกัน ดังบันทึกตอนหนึ่งว่า “ถ้าสร้างพระราชวัง หอสูง หรือที่ประทับ…ใต้เสาแต่ละต้น…ต้องโยนหญิงมีครรภ์คนหนึ่งลงไป…หญิงผู้ตายในเวลาใกล้คลอดยิ่งดี…เชื่อว่าผู้หญิงเหล่านี้เมื่อตายแล้วจะกลับเป็นผีปีศาจที่ดุร้าย ไม่เพียงคอยปกป้องเสาซึ่งตนถูกโยนลงมาข้างใต้ แต่ยังช่วยให้ทั้งบ้านพ้นจากโรคร้าย…”
พิธีน่าสะพรึงกลัวนี้ ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ก็พบว่ายังมีเรื่องเล่าถึงพิธีนี้อยู่ โดยเล่ากันว่าในการก่อสร้างประตูเมืองและการตั้งเสาหลักเมือง กรุงเทพฯ ก็มีการโยนหญิงมีครรภ์ลงไปในหลุมเสาก่อนการสร้างเช่นเดียวกัน
ชมคลิป
แม้วันวลิตจะย้ำว่า ” เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ” แต่เรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด !
ขอขอบคุณ : tsood