เปิดตำรา เจ้าสัวซีพี ชีวิตของมหาเศรษฐีอันดับ1ของประเทศ
ถ้าพูดถึงเจ้าสัวซีพี่เชื่อได้ว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก เพราะกิจการของเครือซีพีเรียกได้ว่าแทบจะครอบคลุมในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการเกษตรและอาหาร ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจการสื่อและโทรคมนาคม และกมากมาย เรียกได้ว่าไม่ว่าเราจะหันหน้าไปทางไหนก็คงหนีไม่พ้นธุรกิจของเครือซีพีเป็นแน่ วันนี้เรามาเปิดประวัติความสำเร็จของเจ้าสัวซีพีกันว่าเค้าทำอย่างไรถึงได้มีทุกอย่างในวันนี้
ธนินทร์ เจียรวนนท์ ปัจจุบันอายุ 81 ปีแล้ว และ เจี่ย เอ็กชอ คุณพ่อของเขา หอบเอาเสื่อผืนหมอนใบ และกระสอบเมล็ดพันธุ์ผักถุงใหญ่ รอนแรมมาจนถึงเมืองบางกอก แล้วเปิดร้านจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ชื่อ เจียไต๋จึง ซึ่งเป็นภาษาแต้จิ๋ว หมายถึงความซื่อสัตย์ ยุติธรรม เที่ยงตรง ซึ่งกลายมาเป็นฐานรากธุรกิจของ เครือเจริญโภคภัณฑ์ จนทุกวันนี้
เจี่ย เอ็กชอ เมื่อมีสวนผักทั้งที่เมืองแต้จิ๋วและเมืองไท ก็คัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีจากสวนผักทั้ง 2 แห่ง มาขยายผลต่อ ทำให้นึกถึงสุภาษิตโบราณที่กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านตำราหมื่นเล่ม กับการเดินทางไกลหมื่นลี้ เพื่ออธิบายว่าความรู้ทั้งจากตำราและประสบการณ์ล้วนสำคัญ แต่สำหรับเจี่ย เอ็กชอ ผู้มีโอกาสเรียนรู้จากโลกกว้างนั้น การเรียนรู้จากประสบการณ์สำคัญยิ่งกว่าตำรา
ในช่วงมหาเอเชียบูรพา เมื่อญี่ปุ่นขยายแนวรบเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กิจการเมล็ดพันธุ์เจียไต๋พลอยได้รับผลกระทบ เจี่ย เอ็กชอ จึงพาครอบครัวหนีเครื่องบินและการรบจากถนนเยาวราชไปอยู่ถนนตก ถือเป็นบริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ ชีวิตในท้องนาท้องไร่กับเป็ดไก่ ทำให้ธนินท์ ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 3 ขวบ เกิดความรู้สึกผูกพัน ถึงขั้นที่ว่านำเงินแต๊ะเ๊ยไปซื้อไก่ชนตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เพราะหลงใหลในความสง่างาม แข็งแรง บึกบึนของมัน
และอาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตให้รู้สึกผูกพันกับสัตว์ปีกแต่วัยเยาว์ วันหกิจการเมล็ดพันธุ์ซึ่งชื่อมาเป็น เจริญโภคภัณฑ์ ขยายมาทำอาหารสัตว์จนลงตัวที่ธุรกิจเลี้ยงไก่ ธนินท์ได้รับมอบหมายให้เป็นทัพหน้า คอยประคบประหงมกิจการที่เกิดขึ้นใหม่ โดยแนวคิดสำคัญของธุรกิจใหม่นี้ คือ ทำอาหารสัตว์ หากไม่เลี้ยงสัตว์ให้ดู ใครจะเชื่อถืออาหารสัตว์ที่ทำขึ้นมา และในยุคนั้น เนื้อไก่เป็นของมีราคา คนส่วนใหญ่จึงได้แต่กินโปรตีนจากไข่เป็นของที่ดีราคาถูก เพราะราคาไก่สมัยนั้นแพงมาก
ธนินท์จึงเริ่มศึกษาว่าต้องทำอย่างไรไก่จึงจะไม่กลายเป็นอาหารเกินเอื้อม คำตอบที่ได้มีเพียงการใช้เทคโนโลยีระดับสูง แต่เวลานั้น การเลี้ยงไก่อยู่ในความควบคุมดูแลของเกษตรกร ยังไม่ได้ศึกษาเทคโนโลยีใหม่ ทางซีพีจึงตัดสินใจนำเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทอาร์เบอร์ เอเคอร์ส มาวางรากฐานธุรกิจการเลี้ยงไก่สมัยใหม่ในประเทศ
ผลที่ได้คือ สามารถเพิ่มผลิตผลได้ 100 เท่า จากการเลี้ยงไก่แบบเดิมๆ 1 คน เลี้ยงได้ 100 ตัว ประวัติศาสตร์หน้าใหม่เป็น 1 คน เลี้ยงได้ 10,000 ตัว และในยุคนี้ เกษตรกร 1 คน สามารถเลี้ยงไก่ได้มากถึง 170,000 ตัว หรือคิดเป็น 17 เท่าของยุคก่อน
หลังจากความสำเร็จในกิจการเลี้ยงไก่ ธนินท์กับพี่ๆน้องๆ ก็เริ่มขยายการลงทุนออกไปทั้งแนวกว้าง กระจายการลงทุนไปในหลายประเทศ บนพื้นฐานความคิดที่ว่า ต้องส่งเสริมการลงทุนในต่างแดนของนักธุรกิจไท เพื่อประกาศให้ต่างชาติรู้ว่าคนไทมีความรู้ความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก
ในมุมของธนินท์มองว่า ความผิดพลาดคือค่าเล่าเรียน ถ้าผิดพลาด 30 เปอร์เซ็นต์ สำเร็จ 70 เปอร์เซ็นต์ ให้ถือว่า 30 เปอร์เซ็นต์เป็นค่าเล่าเรียนเพื่อให้ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาด
สิ่งที่น่าสนใจคือ ใน 2 ปีที่นมาสถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้สนใจร่วมพัฒนาไบโอเทคโนโลยีอาหารเพื่อสุข ภาพและร่างกายที่ดีแก่ผู้สูงอายุกับซีพี เป็นบริษัทแรกของโลกที่อยู่นอกเหนือกลุ่มยาที่เป็นโครงการงานวิจัยพัฒนาหลักของฮาร์วาร์ด และในเร็วๆ นี้ อาหารที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดร่วมพัฒนากับซีพี จะตอบโจทย์สังคมผู้สูงวัยของประเทศ เพื่อให้ผู้สูงวัยมีโอกาสใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขกับร่างกายที่ดีขึ้นและมีอายุยืนยาวกว่าที่นมา
โลกในยุคนี้ ผลผลิตด้านอุตสาหทุกสาขาต้องพึ่งพาเทคโนโลยีชั้นสูง โดยภายใต้สังคมยุคข้อมูลข่าวที่ดีและเร็วขึ้นเรื่อยๆ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลและนวัตใหม่ๆทางเทคโนโลยี จำเป็นต้องก้าวไปด้วยกันเพื่อเป็นอาวุธในการแข่งขันกับโลกภายนอก
บทสรุปบนเส้นทางสู่ความสำเร็จของธนินท์ คือ เก่งแล้วไม่ขยัน จะไม่มีวันเก่งจริง เพราะการทำงานหรือประสบการณ์นั้น หาไม่ได้จากห้องเรียน ต่อให้มีความรู้ความจำเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่เมื่อไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่สั่งสมประสบการณ์ก็ไม่สามารถคว้าความสำเร็จได้ ผู้ประสบความสำเร็จระดับโลกไม่ว่าจะเป็น บิล เกตต์ หรือ แจ๊ค หม่า ล้วนประสบความสำเร็จจากประสบการณ์และการปฏิบัติจริงทั้งสิ้น
ขอขอบคุณ : เส้นทางเรษฐีออนไลน์, มติชนออนไลน์