พิสูจน์แล้วใช้ได้จริง! แพทย์แผนไทยฯ เปิดเผย “ยาหมอแสง” ต่อต้านเชื้อมะเร็งได้จริง (รายละเอียด)

0

พิสูจน์แล้วใช้ได้จริง! แพทย์แผนไทยฯ เปิดเผย “ยาหมอแสง” ต่อต้านเชื้อมะเร็งได้จริง (รายละเอียด)

ล่าสุดตอนนี้ เชื่อว่าหลายคนไม่รู้จัก มีข่าวกำลังโด่งดังกันเลยทีเดียว กลายเป็นที่รู้จักคนทั่วไปทั้ง ไทย และต่างประเทศ ถ้าเอ่ยชื่อ “หมอแสง” หรือ นายแสงชัย แหเลิศตระกูล ผจก.การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ปราจีนบุรี และคงจะพูดไม่ผิด เป็นความหวังสุดท้ายของคนสิ้นหวังสำหรับผู้ป่วยที่เป็น “มะเร็ง” แต่ปัญหายังไม่จบ

ซึ่งวันนี้ยังคงเดินตามทางของตัวเองที่จะแจกสมุนไพรที่ตนได้รับมา เพื่อให้ประชาชนที่รอคอยความหวังที่จะหายจากโรคร้ายต่อไป..

ล่าสุดท่านรองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้เปิดเผยว่า สมุนไพรที่หมอแสงได้บอกเอาไว้ว่าใช้อะไรบ้างในสูตรของหมอแสง

ทางท่านรองอธิบดีได้อธิบายว่า เป็นสมุนไพรที่มีงานวิจัยรับรองว่า ต่อต้านเชื้อมะเร็งจริง เพียงแต่ยังไม่มีงานวิจัยที่นำมาใช้กับคนไข้ที่เป็นมะเร็ง แต่ก็ยอมรับว่ามีการทดลองอยู่จริง และได้มีการนำยาของหมอแสงบางส่วนไปตรวจพิสูจน์แล้วว่าไม่มีสารสเตียรอยด์ปนอยู่ ทำให้สามารถตอบได้ว่ากินได้ไม่มีอันตราย แต่รักษามะเร็งได้หรือไม่นั้นยังไม่สามารถตอบได้

ส่วนประกอบ ตามสูตรหมอแสง

1. ข้าวเย็นเหนือ

ข้าวเย็นเหนือเป็นสมุนไพรไทยที่พบได้มากตามป่าดงดิบ ป่าดิบชื้น ป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง ส่วนใหญ่จะพบสมุนไพรข้าวเย็นเหนือทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้าวเย็นเหนือจัดเป็นไม้เถาเนื้อแข็ง โดยจะแตกกิ่งก้านสาขาจากโคนต้น พาดพันต้นไม้อื่นหรือเลื้อยลงตามพื้นดิน ความยาวของเถาอาจยาวได้ถึง 5 เมตร เถามีหนามแหลมที่โคนใบยอดอ่อนโดยมีมือเป็นเส้น 2 เส้นไว้สำหรับยึด

สรรพคุณทางยา

แก้น้ำเหลืองเสีย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อหนอง แก้เส้นเอ็นพิการ แก้กามโรค มีสรรพคุณรักษาฝี แผลเน่าเปื่อยพุพอง ช่วยให้ฝีและแผลแห้งเร็วขึ้น นอกจากนี้หัวข้าวเย็นเหนือยังมีสรรพคุณแก้ผดผื่นคัน ดับพิษในกระดูก แก้ปัสสาวะพิการ และแก้อักเสบในร่างกาย

2. ข้าวเย็นใต้

ข้าวเย็นใต้เป็นเถาไม้เลื้อยเช่นเดียวกับข้าวเย็นเหนือ ลำต้นมีสีน้ำตาลเข้มโดยมีเหง้าหรือหัวอยู่ใต้ดิน เหง้าหรือหัวข้าวเย็นใต้จะมีลักษณะกลมหรือแบน หรืออาจพบเป็นก้อนและรูปร่างที่ไม่แน่นอน ผิวของเหง้าไม่เรียบ

มีลักษณะเป็นก้อนแข็งนูนและแยกเป็นแขนงสั้น ๆ ความกว้างของเหง้าจะประมาณ 2-5 เซนติเมตร ความยาวประมาณ 5-22 เซนติเมตร ผิวเหง้ามีสีน้ำตาลเหลืองหรือสีเทาน้ำตาล ตามบริเวณผิวจะพบส่วนที่เป็นหลุมลึกและนูนขึ้น โดยมีรากฝอยขึ้นบริเวณที่เป็นหลุม มักพบปมของรากฝอยที่งอกจากผิวเหง้า และมีรอยแยกแตกเป็นร่อง ๆ

สรรพคุณทางยา

แก้พุพอง แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ปัสสาวะพิการ และแก้พยาธิในท้อง

– ข้าวเย็นเหนือ กับข้าวเย็นใต้ มักใช้ด้วยกันตลอด โดยมี รศ. ดร.อรุณพร อิฐรัตน์ และคณะนักศึกษาจากสาขาวิชาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ทำการคิดค้นวิจัยสรรพคุณของข้าวเย็นเหนือ

– ข้าวเย็นใต้ โดยศึกษาด้านฤทธิ์ยับยั้งเซล์มะเร็งและเอดส์ รวมไปถึงได้ทำการศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งและเอดส์ เช่น ฤทธิ์เพิ่มภูมิต้านทาน ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฤทธิ์ต้านเนื้องอก และกลไกการออกฤทธิ์ทางชีวเคมีของสมุนไพรข้าวเย็นเหนือและข้าวเย็นใต้

3. ดอกพิลังกาสา

เป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปตั้งแต่หมู่เกาะริวกิวของประเทศญี่ปุ่น และกระจายไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงอินเดียภาคใต้ โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม มีความสูงของต้นประมาณ 2-3 เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขาออกรอบต้น แต่ไม่มากนัก ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด

สรรพคุณทางยา

ดอก เป็นยาฆ่าเชื้อโรค ใช้เป็นยาแก้พยาธิ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ผล เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระไปทำลายเซลล์ในร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดในสมองอุดตัน

4. เห็ดกระถินพิมาน

“เห็ดกระถินพิมาน” หรือ “เห็ดเกือกม้า” หรือที่ชาวบ้านในภาคเหนือเรียกว่า “คะยา” หรือ “หนามขาว” ชาวสุโขทัย เรียกว่า “กระถินป่า” หรือ “กระถินวิมาน” ชาวภาคกลางเรียก “กระถินหางกระรอก” หรือ “กระถินพิมาน”

สรรพคุณทางยา

เห็ดกระถินพิมานมีสรรพคุณในการยับยั้งเซลล์มะเร็งจริง เพราะมีสารโพลีแซคคาไลน์ สารเบตากลูแคน สารไตรโตรปินอย สารเนเชอรัลสเตอรอยด์ ที่เข้าไปช่วยยับยั้งการโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ มะเร็งถุงน้ำดี มะเร็งกรวยไต มะเร็งปอด

5. รำข้าวนาปี

รำข้าวอุดมไปด้วยวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย ได้แก่…

1. กลุ่มสารฟอสโฟไลฟิด (Phosp holipids) เช่น เลซิติน (Lecithin) เซฟฟาลิน (Cephalin) ไลโซเลซิติน

(Lysolecithin) ซึ่งมีความสำคัญในการนำไปสร้าง และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ประสาทสมอง และช่วยป้องกันเซลล์ประสาท จากสารที่เป็นพิษและอนุมูลอิสระต่าง ๆ ช่วยลดความเครียด และช่วยเสริมสร้างในด้านความจำ

2. กลุ่มเซราไมด์ (Ceramide) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของชั้นใต้ผิวหนัง ช่วยทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นการเสริมสร้างเซราไมด์ให้เพียงพอ ทั้งโดยการรับประทานหรือการให้ทางผิวหนังในรูปการทาครีม หรือโลชั่น จะช่วยรักษาผิวพรรณให้สดใสเปล่งปลั่ง ปราศจากริ้วรอยย่นก่อนเวลาอันควร นอกจากนี้เซราไมด์ยังมีคุณสมบัติเป็น ไวท์เทนเนอร์ (Whitener) ซึ่งสามารถยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน อันเป็นสาเหตุให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำบนผิวพรรณได้ดี และยังเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวอีกด้วย

3. กลุ่มคอลโทคอล (Tocols) วิตามินอีธรรมชาติ ในรูปของโทโคเฟอรอล (Tocopherol) และโทโคไทรอีนอล (Tocotrienol) มีประโยชน์ต่อร่างกายในการสร้าง และซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ของร่างกายและยังช่วยทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคต่าง ๆ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง

4. กลุ่มกรดไขมันไลโนเลอิค (Linoleic Acid) หรือโอเมก้า 6 และ กรดไลโนเลอิค (Linoleic Acid) หรือโอเมก้า 3 ที่เป็นกรดไขมันจำเป็น โดยมีอยู่ประมาณ 33%

5. กลุ่มวิตามิน B – Complex ซึ่งช่วยให้การทำงานของระบบประสาทดีขึ้น

6. กลุ่มแกมมา – ออไรซานอล มีฤทธิ์ในการลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ทำให้ลดการตีบตันของหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และยังมีฤทธิ์ในการลดความเครียด และรักษาอาการผิดปกติของสตรีวัยทอง นอกจากนี้ยังเป็นสารอนุมูลอิสระ และยังป้องกันแสงยูวีได้ เมื่อใช้กินหรือใช้ทา ทำให้ผิวหนังชุ่มชื่นและต้านการอักเสบ สารชนิดนี้มีความปลอดภัยสูงมาก

ขอขอบคุณ :  แพทย์แผนไทยฯ

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่