ผ่อนบ้านไม่ไหว ผ่อนบ้านให้หมดไว ประหยัดหลายแสน ได้เงินคืนบางส่วน
ในช่วงนี้หลายคนกำลังเจอปัญหาเกี่ยวกับการผ่อนบ้านผ่อนรถ และใครที่กำลังมองหาวิธีการผ่อนบ้าน ที่จะทำให้เราลดดอกเบี้ยได้ถูกที่สุด วันนี้เราขอนำเสนอวิธีการลดดอกเบี้ยบ้านไม่ให้บานปลายในอนาคตมาฝากเพื่อนๆกัน
วิธีต่อไปนี้สามารถนำไปใช้ได้เลย คุณสามารถลดหนี้สินของคุณได้มาก ช่วยผ่อนบ้านให้หมดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม และยังมีวิธีบอกอีกว่า ในช่วงที่เราผ่อนนั้น เรายังได้รับเงินคืนบางส่วนกลับมา และวิธีง่ายๆนั้นสามารถทำได้ดังต่อไปนี้ คุณจะต้องทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ก่อน
1 การที่เราผ่อนหมดไวที่สุดคือวิธีการลดดอกเบี้ยที่ดีที่สุด
2 เราจะได้รับเงินคืนในบางส่วน นั่นก็คือเงินประกันที่ผู้กู้เงินหลายคนถูกบังคับให้ทำตอนกู้เงิน ซึ่งธนาคารมักจะบอกกับเราว่า หากเราเอาเงินไปประกันนั้นเราจะสามารถอนุมัติผ่านได้ง่ายขึ้นมากกว่าเดิม
3 โดยปกติแล้วส่วนใหญ่เวลาทำสัญญากับทางธนาคาร ธนาคารมักจะบอกว่าห้ามปิดหรือว่าห้ามโปะหนี้ก่อนเวลา 3 ปี คุณสามารถนำช่องโหว่ตรงนี้มาใช้ในการลดดอกเบี้ยกับทางธนาคารได้
4 วิธีการลดดอกเบี้ยก็คือ หลังจากที่คุณผ่อนครบกำหนด 3 ปีแล้ว ให้เราไปขอทำเรื่องลดดอกเบี้ยกับทางธนาคาร บอกไปตรงๆเลยว่าวันนี้จะมาขอลดดอกเบี้ยได้ไหม ถ้าหาทางธนาคารตอบว่าไม่ได้ ให้คุณบอกว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจะทำการรีไฟแนนซ์ไปทางธนาคารอื่น
– รีไฟแนนซ์หมายความว่า เราจะไปเป็นหนี้กับธนาคารอื่นแทนธนาคารเดิมนั่นเอง
5 โดยส่วนใหญ่แล้วนั้นธนาคารจะพยายามที่จะรักษาลูกค้ารายนี้เอาไว้ โดยจะทำการขอให้เรายื่นเรื่อง retention การรีเทนชั่นก็คือการลดดอกเบี้ยให้เรานั่นเอง
วิธีการที่คุณต้องรู้ 14 ข้อนั้นก็คือ
1 ให้คุณไปติดต่อที่สาขาที่คุณกู้ เพื่อที่จะได้ทำการเจรจาขอลดดอกเบี้ย
2 ถ้าคุณต้องการได้เปรียบให้คุณพูดไปเลยว่า ขอลดดอกเบี้ยตรงๆไปเลย โดยจะต้องให้เหตุผลแค่ว่าคุณเป็นลูกค้าชั้นดี ไม่เคยมีประวัติชำระไม่ตรง และในตอนนี้ผ่อนมาครบ 3 ปีแล้ว จึงต้องการจะขอลดดอกเบี้ย
3 ถ้าหากไม่ได้ตั้งใจว่าจะรีไฟแนนท์ เนื่องจากไปเช็คดอกเบี้ย โฮมโลนสำหรับลูกค้าใหม่มาแล้ว 4-5 ธนาคาร แล้วดอกถูกกว่าที่จ่ายอยู่
4 จากนั้นพนักงาน เขาอาจจะถามคุณว่าสนใจที่ไหนอยู่ คุณก็แกล้งเลือกบอกไปสัก 1 ธนาคาร ที่มีดอกต่ำที่สุดในกระดาษที่คุณจดมา
ปล คุณต้องเช็คแล้วเขียนใส่กระดาษว่า ดอกเบี้ยแต่ละธนาคารเท่าไหร่ 4-5 ที่ อย่างที่บอกจริงๆ คุณจะต้องเช็คไปจริงๆ
5 เนื่องจากมันจะทำให้คุณสามารถต่อรองได้มากขึ้น เพราะว่าธนาคารจะรู้เรตของธนาคารอื่นอยู่แล้ว แต่แค่แกล้งถามให้รู้ว่าคุณเช็คมาจริงๆ
6 หลังจากนั้นธนาคารจะออฟเฟอร์ดอกเบี้ยใหม่ให้คุณ ซึ่งก็ยังพูดมาในราคาที่แพงกว่าของธนาคารที่คุณแจ้งไปเล็กน้อย
7 เนื่องจากเขารู้ว่า ถ้าคุณรีไฟแนนท์ คุณก็ต้องมีค่าใช้จ่าย และบางคนก็มองว่ายุ่งยาก ธนาคารจึงคิดว่า ดอกเบี้ยลดให้แล้ว แต่ยังแพงกว่าหน่อยลูกค้าส่วนใหญ่ก็โอเคถือว่าซื้อความสะดวก
8 เมื่อคุณได้ดอกเบี้ยใหม่ คุณก็ถามเขาได้เลยว่า ดอกเบี้ยใหม่เริ่มคิดให้ตั้งแต่เดือนไหน (คุณสามารถไปติดต่อก่อนครบ 3 ปี ล่วงหน้าซัก 1-2 เดือนได้เลย)
ปล ดอกเบี้ยของธนาคารอื่น 4-5 ธนาคารที่ให้เช็คและจดไปว่าที่ไหนต่ำสุด ให้คุณทำการคำนวณว่า ในระยะเวลาอีก 3 ปีที่จะผ่อนข้างหน้าต่ำสุด ไม่ใช่ดูแค่ว่า 0% 3 เดือนแรก จากนั้น แพง ให้คุณลองคำนวณดูที่ 3 ปี
9 เนื่องจาก หลังจากนั้นทุกๆ 3 ปี คุณก็จะใช้ช่องโหว่เดิมมาขอลดดอกเบี้ยได้อีก (จึงขอแนะนำให้ดูที่ 3 ปี)
10 แต่ว่ายอดหนี้ของคุณจะต้องเกิน 1 ล้านบาทตอนไปขอลดดอกเบี้ย (ซึ่งแล้วแต่ธนาคาร คุณลองเช็คดูก่อน)
11 บางธนาคารก็มีการดูท่าทีคุณ เพื่อที่จะประเมินว่าควรให้ดอกเบี้ยใหม่เท่าไหร่ ถ้าหากคุณไม่รู้อะไรเลยก็จะลดได้ไม่เยอะ
12 ยกตัวอย่างในกรณีของเพื่อนเคยเจอแบบว่า พอพูดว่าจะรีไฟแนนท์ เขาเช็คดูว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตหรือไม่ จนเพื่อรต้องบอกว่า หนี้บัตรตั้งใจปิดก่อนรีไฟแนนท์อยู่แล้ว เนื่องจากรู้ว่าต้องใช้ในการพิจารณ์สินเชื่อบ้าน ยังไงก็จะปิดอยู่แล้ว เลยได้ลดดอกเบี้ยมา
13 ถ้าหากเขารู้ว่าคุณไม่มีทางเลือกเป็นหนี้บัตรเครดิต อาจจะยากในการขอสินเชื่อจากธนาคารใหม่ ธนาคารก็อาจจะดึงเกมส์ โดยไม่ลดให้ หรือลดให้ไม่มาก เพราะรู้ว่าที่จริงแล้วคุณไม่มีทางเลือก
14 ฉะนั้นก่อนที่คุณจะไปต่อรอง คุณควรชำระบัตรให้หมด หรืออย่างน้อยให้บัตรเครดิตของธนาคารนั้นเป็น 0 ไปรวมหนี้ไว้ที่บัตรของธนาคารอื่นก่อน
ได้รับเงินคืน เมื่อผ่อนหมด
– ถ้าหากในกรณีที่คุณโดนบังคับให้ทำประกันพร้อมกู้ซื้อบ้าน และคุณได้ทำสัญญากู้บ้าน
– ยกตัวอย่างเช่น ทำสัญญากู้บ้าน 30 ปี แต่คุณผ่อนจริง 17 ปีหมด คุณก็จะสามารถติดต่อขอเคลมเงินประกันคืนได้
– โดยให้คุณให้เหตุผลกับธนาคารว่า คุณได้คุ้มครองแค่ 17 ปี ที่เหลืออีก 13 ปีไม่ได้มีการคุ้มครอง เนื่องจากผ่อนบ้านหมดแล้ว
– ฉะนั้น คุณจึงขอเคลม 13 ปีที่ไม่ได้คุ้มครองคืนเป็นเงิน
– การขอเคลมคืนอาจจะได้มาไม่มาก ประมาณไม่กี่หมื่น คุณสามารถสอบถามธนาคารได้เลยว่าได้คืนเท่าไหร่ และธนาคารอาจจะยื่นข้อเสนอให้กับคุณว่า ถ้าไม่รับคืนก็จะคุ้มครองต่อ
– โดยส่วนมากการคุ้มครองมักจะเป็นการได้เงิน ถ้าหากคุณจากไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้วธนาคารจะทำประกันแบบนี้ให้
– เนื่องจาก ธนาคารกลัวว่าคุณจะจากไปก่อนผ่อนบ้านหมด ซึ่งผู้ที่ได้ก็ไม่ใช่คุณ แต่เป็นผู้รับประโยชน์ในสัญญากรมธรรม์
– ซึ่งถ้าหากคุณให้เขาคุ้มครองต่อ คุณก็ควรจะแจ้งชื่อผู้รับผลประโยชน์ใหม่
เพราะว่าเนื่องจากผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เก่าในกรมธรรม์ ก่อนที่คุณจะทำการปิดบ้านหมดนั่นก็คือธนาคาร ฉะนั้นแล้วแนะนำว่าลองให้คุณชั่งน้ำหนักดูก่อนว่า คุณจะเครมเอาเงินคืน หรือว่าจะให้ทางธนาคารคุมครองต่อไป
เขียน / เรียบเรียงส่วนหนึ่งโดย : Postsod
ขอขอบคุณ : moneybuffalo, home2nd