เขามีหนี้เป็นพันล้าน ขายเเซนด์วิชข้างถนน ไม่ยอมแพ้กลับลุกยืนได้อีกครั้ง
นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างดีๆสำหรับคนในยุคนี้ ใครที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองเริ่มท้อแท้ท้อถอยกับการใช้ชีวิต กับการทำงานและเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ อย่างเช่นต้มยำกุ้งในช่วงปี 40 หลังจากที่เงินบาทลอยตัว ทำให้เศรษฐกิจในช่วงค่ำคืนนั้นกระทบหนัก
ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ ผู้ที่เป็นอดีตเซียนหุ้นพูดได้ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลที่ล้มละลาย มีหนี้สินติดตัวมากมายนับพันล้าน ต้องผันตัวมาเป็นพ่อค้าขายแซนวิชตามข้างถนน ด้วยหัวใจของเขาเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ จึงกัดฟันสู้ล้มแล้วล้มอีกนับไม่ถ้วน จนกลับมายืนได้อีกครั้ง อีกทั้งยังเป็นเรื่องราวที่ดีสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั้งประเทศ
ชายวัย 67 ปี ผู้นี้จะมาทำการถ่ายทอดประสบการณ์อันล้ำค่า อันแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา เพื่อให้เรื่องราวที่นำมาฝากเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนที่กำลังคิดท้อแท้และท้อถอย ท่ามกลางเศรษฐกิจและสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงในปัจจุบันนี้
คุณต้องไม่พลาดกับบทความที่เรานำมาฝาก นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างดีๆ
ย้อนรอยปี 40 วันที่คนล้มทั้งยืน
ย้อนรอยกลับไปในช่วงอดีตเมื่อปี 2540 นักลงทุนในตลาดหุ้นเชื่อว่าทุกคนไม่มีใครที่จะไม่รู้จักคุณ ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ ผู้ที่เป็นโบรกเกอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ผู้ที่ได้รับฉายาจากสื่อมวลชน ว่าเป็นอัศวินม้าขาว จากผลงานการทำกำไรมากมาย หลายพันล้านให้กับบริษัทอื่นมากมาย
ก่อนที่จะเกิดวิกฤตปัญหาฟองสบู่แตก บ้านเราถูกมองว่าเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ของเอเชีย ทุกคนนั้นใช้เงินลงทุนกันอย่างมั่นอกมั่นใจ นักลงทุนเมื่อคิดการใหญ่แล้วเงินไม่พอก็ไปกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ โดยเฉพาะในต่างประเทศ ซึ่งสามารถกู้ได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องไปผ่านแบงค์ แถมดอกเบี้ยก็ถูกกว่าในประเทศเป็นไหนๆ ก็เลยต่างแห่กันไปกู้เงินจากต่างประเทศเป็นจำนวนเงินมหาศาล ทุกคนต่างลงทุนด้วยความมั่นใจ แต่ใครจะไปคิดว่าจะเกิดวิกฤติครั้งใหญ่ในช่วงระยะเวลาต่อมา
คุณ ศิริวัฒน์ จำได้แม่นถึงวันที่เรียกประชุมพนักงานบริษัทซึ่งมีอยู่ 40 คน เพื่อแจ้งว่าบริษัทต้องปิดตัว ตอนนั้นพนักงานครึ่งหนึ่งลาออก อีกครึ่งหนึ่งกำลังมืดแปดด้าน ไม่มีที่ไป เพราะช่วงนั้นมีแต่บริษัทปิดตัว งานหายาก ลูกน้องจึงมองเขาไม่ต่างจากที่พึ่งสุดท้าย
คำสอนหนึ่งที่ได้มาจากคุณพ่อคุณแม่คือ อย่าทิ้งลูกน้อง เพราะเขาเหมือนครอบครัวเดียวกับเรา ถ้าไม่มีเขาเราก็ไม่มีวันนี้ ผมปรึกษาภรรยาว่าจะช่วยพวกเขายังไงดี ลำพังตัวคนเดียวอาจจะไปขายประกัน หรือทำบริษัทขายตรงก็ได้ แต่งานเหล่านั้นมันเลี้ยงคนไม่ได้ สุดท้ายภรรยาบอกว่า งั้นเรามาทำแซนด์วิชขายกันเถอะ นี่คือจุดเริ่มต้นของตำนานคนสู้ชีวิต
จากเศรษฐีร้อยล้านสู่พ่อค้าแซนด์วิชข้างถนน
หลังจากศิริวัฒน์คิดได้ว่าเขาไม่ใช่เซียนหุ้น ไม่ใช่เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์คนเก่าอีกต่อไป บทเรียนแรกที่ได้รับในวันที่ล้มคือ อย่าอายทำกิน เขาจึงเริ่มคิดว่าจะขายอะไร และก็สรุปได้ว่าขายแซนวิส เพราะทำง่ายและใช้ต้นทุนต่ำ เขาใช้หน้าตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าของเขา ยืนถือกล่องคล้องคอ แล้วเดินไปขายตามจุดต่างๆ แรกๆคนมองแต่ก็ไม่ซื้อ
กลเม็ดการขายตามแบบฉบับของศิริวัฒน์แซนด์วิชคือ ไม่ตื๊อ ไม่ยัดเยียด หากลูกค้าต้องการก็จะเดินมาซื้อเอง วันนี้อาจลองซื้อชิม วันหน้าถ้าติดใจเขาจะกลับมาซื้อเอง แค่ทำสินค้าให้ดีไว้ในทุกๆวันก็พอ
ศิริวัฒน์ให้แนวคิดว่า ถ้าคุณไม่ซื่อสัตย์กับเขา ไม่สด ไม่สะอาด ไม่อร่อย เขาจะไม่ซื้อชิ้นที่สองชิ้นที่สาม แล้วอาจไปบอกต่อก็ได้ว่า
เฮ้ย ไอ่ศิริวัฒน์เเม่งโกง อย่าไปอุดหนุนมัน
ดังนั้นผมบอกพนักงานทุกคนอยู่เสมอว่าเราต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า คนที่สงสารจะซื้อแค่ชิ้นเดียว แต่คนถูกใจจะซื้อเราทุกวัน นี่คือสิ่งที่ผมยึดถือมาตลอด
การจะประสบความสำเร็จ คุณต้องขยัน ท้อได้แต่ต้องอดทน ไม่ใช่ว่าขายไม่ดีแล้วเลิก ผมขายน้อยได้น้อย ดีกว่าขายเยอะแล้วเจ๊ง ผมเดินมาถึงจุดที่รู้ซึ้งแล้วว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน คุณต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด
คำสอนอีกข้อที่ศิริวัฒน์ให้ลูกๆให้จำไว้เสมอและทำให้ดูอยู่ตลอดคือ พึ่งตัวเอง
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ถ้าเราพึ่งตัวเองมากๆ สิ่งที่ได้รับระหว่างการทำธุรกิจคือประสบการณ์ที่โรงเรียนไหนก็ไม่มีสอน ให้คิดว่าที่เราเหนื่อยคือการลงทุน วันหนึ่งเมื่อประสบความสำเร็จ นอกจากเงินทองที่ได้รับแล้ว สิ่งที่จะตามมาคือความภาคภูมิใจ
คืนความสุขให้สังคม
ไม่น่าเชื่อว่า ผ่านมา 20 ปีวันนี้ศิริวัฒน์ลุกขึ้นสู้จนสามารถเคลียหนี้พันล้านบาทได้สำเร็จ พ้นจากสถานะบุคคลล้มละลาย กลายเป็นตำนานคนสู้ชีวิตที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนนับล้าน
ปัจจุบัน บริษัท ทีจีไอเอฟ คอร์ปปอเรชั่น จำกัด ดูแลธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ตั้งแต่แซนด์วิช ซึชิข้าวกล้องห่อสาหร่าย ปิต้าแซนด์วิช ข้าวกล้องอบกรอบ และน้ำเม่าเบอร์รี่ ความฝันของศิริวัฒน์คือ คิดจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทมหาชน
สิ่งที่ทำให้ผมภูมิใจคือ โครงการศิริวัฒน์แซนด์วิชช่วงปิดเทอมให้รุ่นเล็กๆที่สนใจหารายได้พิเศษมาช่วย ทำมา 13 ปีแล้ว ประสบความสำเร็จมาก ทำให้ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และเรียนรู้การทำธุรกิจด้วยตัวเอง สองเดือนที่ปิดเทอม บางคนหาเงินได้ 2 หมื่น บางคนได้ถึง 5 หมื่นบาท ขึ้นอยู่กับความขยัน
จากเคยเป็นเศรษฐีแล้วเจ๊งเป็นบุคคลล้มละลาย คิดจะกลับมารวยอีกไหม
บอกตรงๆว่าคิดจะกลับมาเป็นเศรษฐี แต่แนวคิดเปลี่ยนไปจากเศรษฐีที่ไม่รู้จักพอ มาเป็นเศรษฐีแบบพอเพียง สมัยก่อนหลงไปกับความหอมหวานที่ไม่มีจริงของเศรษฐกิจ ทำให้ล้มละลาย เมื่อผ่านมาได้จะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นซ้ำสองอีก
ผมเคยร่ำรวย แต่รวยคนเดียว ในที่สุดผมก็เจ๊ง วันนี้ผมพลิกกลับมาได้เพราะสังคมช่วยผม อุดหนุนผม เขาช่วยเรา ทำให้ชีวิตเรามีค่า วันนี้ชีวิตผมเป็นคนมีค่าแล้ว ผมก็ต้องทำให้ชีวิตคนอื่นมีค่า ผมเคยได้ยินเจอประโยคหนึ่งแล้วชอบมากๆคือ ชีวิตที่มีค่าไม่ใช่ชีวิตที่ร่ำรวย มีเกียรติ หรืออายุยืน แต่ชีวิตที่มีค่าคือชีวิตที่ตัวเองเป็นคนมีคุณค่า และทำให้ชีวิตคนอื่นมีค่า
ขอขอบคุณ : เพจกำลังใจ