ตำราไฟ หัวปลีย่าง รักษาเบาหวาน บำรุงร่างกาย สูตรปู่ย่าโบราณ
โรคยอดฮิตในประเทศไทยนั่นก็คือ “โรคเบาหวาน” ส่วนมากจะเป็นเพราะพันธุกรรมที่ส่งต่อรุ่นต่อรุ่น จากแม่สู่ลูก ส่วนอื่นอาจเป็นเพราะพฤติกรรมในการใช้ชีวิตและบริโภค เพราะคนทั่วไปมักติดอาหารรสหวานชอบดื่มกาแฟดื่มน้ำอัดลม จนในที่สุดทำให้น้ำตาลในเลือ.ดพุ่งสูงปี๊ด
ถ้าอยากลดน้ำตาลในเลือ.ดก็ต้องหมั่นควบคุมอาหาร และทานยาเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือ.ด แต่ถ้าใครอยากรักษาด้วยธรรมชาติ ก็แค่ทำตามสูตรที่เรากำลังจะบอกนี้ รับรองว่าถ้าทำติดต่อกันอย่างถูกวิธีจะได้ผลแน่นอน
วิธีที่ว่านี้ ก็คือ การบริโภค “หัวปลีกล้วยน้ำว้าย่างไฟ” ซึ่งโดยปกติแล้ว กล้วยมีสรรพคุณทางยา คือ
– ยาง ช่วยสมานแผลห้ามเลือ.ด
– ผลดิบ ช่วยแก้ท้องเสีย
– ผลสุก ช่วยเป็นยาระบาย
– หัวปลี แก้โรคเกี่ยวกับ ลำไส้ แก้โรคโลหิตจาง และลดน้ำตาลในเส้นเลือ.ด
โดยตัวที่เราจะสนใจก็คือ “หัวปลี” นั่นเอง
คำสอนของปู่ย่าตายายหรือคนเก่าคนแก่ บอกไว้ว่า
“ผู้หญิงคนไหนอจยากจะให้หน้าอกโตเต่งตึ่ง ต้องกินหัวปลีของกล้วยน้ำว้า ถ้าเป็นแม่ลูกอ่อนจะมีน้ำนมดี กินหัวปลีน้ำนมไหลดี หน้าอกก็เต่งตึง กินได้ทั้งแบบดิบและสด
แบบดิบก็จะนำมาปรุงในรูปของผักที่เป็นเครื่องเคียง เช่นในผัดไทย รสชาติจะฝาดๆแต่ถ้านำไปปรุงให้สุก ไม่ว่าจะเป็นต้มยำหัวปลี แกงไก่ใส่หัวปลี รสชาติจะนุ่ม มีรสหวานนิดๆอร่อยดีในเรื่องประโยชน์ของหัวปลีนั้นก็มีหลายอย่าง เช่นถือว่าเป็นอาหารบำรุงน้ำนมของผู้หญิงที่กำลังมีลูก”
เพราะฉะนั้น คุณแม่ลูกอ่อนที่กำลังให้นมลูก จึงควรกินอาหารที่มีหัวปลีเป็นส่วนประกอบให้มากๆ แต่นอกจากหัวปลีจะเหมาะสมกับคุณแม่ลูกอ่อนแล้ว ในหัวปลียังมีแร่ธาตุมากมาย เช่น ธาตุเหล็กช่วยบำรุงเลือ.ด ป้องกันโลหิตจาง และยังมีความสามารถในการลดน้ำตาลในเลือ.ด รวมไปถึงความสามารถในการรักษาโรคกระเพาะได้ด้วย
วัตถุดิบ
หัวปลี ‘กล้วยน้ำว้า’ เท่านั้น ใช้หัวปลีจากกล้วยชนิดอื่นไม่ได้ 1 หัว
วิธีทำ
1. นำหัวปลีมาย่างไฟ ย่างให้เปลือกชั้นนอกไหม้เกรียม
2. นำไปต้มกับน้ำ โดยต้องกะจำนวนของหัวปลีให้พอเหมาะ ต้มจนเดือด
3. ดื่มน้ำต้มหัวปลีต่างน้ำทั้งวัน โดยดื่มให้หมดหม้อวันละ 1 หัว จนครบ 7 วัน
หากคนที่เป็นเบาหวานดื่มแล้วถูกทางยาดื่ม ในช่วง 1-2 วันแรกจะมีอาการปวดเมื่อยตามร่างกายจนแทบทนไม่ไหว ซึ่งถือเป็นเรื่องดีแสดงว่ายานี้ได้ผล อย่างไรก็ตาม ต้องต้มดื่มจนครบ 7 วัน ตามที่บอกข้างต้น โรคเบาหวานจะดีขึ้นและหายได้
หลังจากดื่มครบ 7 วันแล้ว สามารถดื่มน้ำต้มหัวปลีนี้ไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องดื่มทุกวันเหมือนครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม หากใครที่เป็นเบาหวานแล้วต้มดื่มน้ำหัวปลีตามสูตร แต่ดื่มไป 3 วัน แล้วก็ยังไม่มีอาการตามที่กล่าวข้างต้น แสดงว่าไม่ได้ผล ไม่ถูกทางยา คุณน่าจะไม่สามารถใช้สูตรนี้ได้ และควรเลิกต้มดื่มได้เลย
สูตรที่เราแนะนำนี้เป็นสูตรโบราณ ที่พวกเราขอแนะนำเป็นวิทยาทาน คุณหรือคนใกล้ตัวของคุณคนไหนที่เป็นเบาหวานควรจะทดลองสูตรนี้ดู รับรองว่าไม่มีอันตรายแต่อย่างใด
คำสอนของปู่ย่าตายายหรือคนเก่าคนแก่ บอกไว้ว่า
“ผู้หญิงคนไหนอจยากจะให้หน้าอกโตเต่งตึ่ง ต้องกินหัวปลีของกล้วยน้ำว้า ถ้าเป็นแม่ลูกอ่อนจะมีน้ำนมดี กินหัวปลีน้ำนมไหลดี หน้าอกก็เต่งตึง กินได้ทั้งแบบดิบและสด
แบบดิบก็จะนำมาปรุงในรูปของผักที่เป็นเครื่องเคียง เช่นในผัดไทย รสชาติจะฝาดๆแต่ถ้านำไปปรุงให้สุก ไม่ว่าจะเป็นต้มยำหัวปลี แกงไก่ใส่หัวปลี รสชาติจะนุ่ม มีรสหวานนิดๆอร่อยดีในเรื่องประโยชน์ของหัวปลีนั้นก็มีหลายอย่าง เช่นถือว่าเป็นอาหารบำรุงน้ำนมของผู้หญิงที่กำลังมีลูก”
เพราะฉะนั้น คุณแม่ลูกอ่อนที่กำลังให้นมลูก จึงควรกินอาหารที่มีหัวปลีเป็นส่วนประกอบให้มากๆ แต่นอกจากหัวปลีจะเหมาะสมกับคุณแม่ลูกอ่อนแล้ว ในหัวปลียังมีแร่ธาตุมากมาย เช่น ธาตุเหล็กช่วยบำรุงเลือ.ด ป้องกันโลหิตจาง และยังมีความสามารถในการลดน้ำตาลในเลือ.ด รวมไปถึงความสามารถในการรักษาโรคกระเพาะได้ด้วย
1. เหง้า ต้มทาท้องน้อย คนคลอดบุตรช่วยให้รกลอกภายหลังคลอดบุตร
2. ใบ รักษาโรคท้องเสีย บิด ห้ามเลือ.ด แก้ผื่นคันตามผิวหนัง
3. ผล บำรุงกำลัง บำรุงเลือ.ด แก้บิด แก้ท้องร่วง(ผลดิบ) สมานแผล แก้ท้องอืดเฟ้อ
4. เปลือกผล แก้ริดสีดวง
5. ยาง ห้ามเลือ.ด
ขอขอบคุณ : รักษ์สุขภาพ