แจก 3 สูตรเด็ดแจ่วบองปลาร้าสับสมุนไพร และวิธีเก็บไว้ให้ได้นาน ทำขายสร้างรายได้ดี

0

แจก 3 สูตรเด็ดแจ่วบองปลาร้าสับสมุนไพร และวิธีเก็บไว้ให้ได้นาน ทำขายสร้างรายได้ดี

สวัสดีเพื่อนๆทุกท่าน กลับมาเข้าครัวกันอีกครั้ง วันนี้มาพบกับเมนูสุดแซ่บของใครหลายๆบ้าน กับเมนูที่มีชื่อว่า “แจ่วบองปลาร้าสับ” แค่ได้ยินชื่อก็กลืนน้ำลายแล้วล่ะค่ะ วันนี้เรามี 3 สูตรการทำมาแจกเพื่อนๆทุกคนกัน จะแซ่บแค่ไหน มาเลือกทำกันดูเลยจ้า

ในช่วงแรกๆ ปลาร้าบองยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำกันสำหรับรับประทานเฉพาะในครัวเรือน แต่ปัจจุบัน มีการพัฒนาการผลิตให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถจำหน่ายในท้องตลาดได้ด้วยการบรรจุในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ทั้งขวดแก้ว และพลาสติก พร้อมติดฉลากยี่ห้อให้มีความน่าเชื่อถือขึ้น

ชนิดปลาร้าบอง/แจ่วบอง ตามลักษณะปลาร้าที่ใช้

1. ปลาร้าบองสับ เป็นปลาร้าบองที่นำตัวปลาร้ามาสับให้ละเอียด ก่อนนำคลุกหรือตำผสมกับเครื่องเทศ ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งปลาร้าที่มีขนาดใหญ่ และปลาร้าขนาดเล็ก แต่ส่วนมากมักเป็นปลาร้าที่เป็นตัวขนาดกลางถึงใหญ่

2. ปลาร้าบองตัว เป็นปลาร้าบองที่นำทั้งตัวปลาร้ามาคลุกผสมหรือตำกับเครื่องเทศ โดยไม่มีการสับตัวปลาร้าให้ละเอียด ทั้งนี้ ปลาร้าบองชนิดนี้ นิยมใช้ปลาร้าที่เป็นปลาขนาดเล็ก และชาวอีสานนิยมทำเฉพาะปลาร้าบองดิบ ไม่นิยมทำสุก

ชนิดปลาร้าบอง/แจ่วบอง ตามการปรุง

1. ปลาร้าบองดิบ เป็นปลาร้าที่อาจทำได้ทั้งจากชนิดปลาร้าสับ และปลาไม่สับที่นำมาคลุกผสมเครื่องเทศ ก่อนจะรับประทาน โดยไม่มีการผ่านความร้อนหรือทำให้สุกก่อน

2. ปลาร้าบองสุก เป็นปลาร้าที่อาจทำได้ทั้งจากชนิดปลาร้าสับ และปลาไม่สับที่อาจคลุกผสมเครื่องเทศแล้วจึงนำมาผ่านความร้อนจนสุกหรือทำปลาร้าให้สุกก่อนนำมาคลุกผสมเครื่องเทศ

ทั้งนี้ การคลุกผสมเครื่องเทศก่อนที่จะนำไปทำสุกจะทำให้ได้ปลาร้าบองสุกที่มีกลิ่นหอมมากกว่าปลาร้าบองสุกที่ผสมเครื่องเทศทีหลัง เพราะความร้อนจะช่วยให้กลิ่นหอมของเครื่องเทศออกมามากขึ้น

วิธีทำปลาร้าบอง/แจ่วบอง 3 สูตรเด็ด

สูตรที่ 1. ปลาร้าบองดิบประเภทสับ

ส่วนผสม

  1. ปลาร้า 0.5 กิโลกรัม

2. ข่า 3 หัว

3. หัวตะไคร้ 5 หัว

4. กระเทียม 5 หัว

5. หอมแดง 10 หัว

6. พริกป่น 2 ทับพี

7. มะขามเปียก 2 ช้อน

8. ใบมะกรูด 15 ใบ

9. มะเขือเทศ 3 ลูก

10. ผงชูรส 2 ช้อน (แล้วแต่ชอบ)

ขั้นตอนในการทำ

1. นำตัวปลาร้ามาสับให้ละเอียด ซึ่งอาจสับทั้งตัวโดยไม่นำก้างออก (อีสานนิยมทำ) หรือนำมาเลาะเอาก้าง และกระดูกออกก่อนแล้วค่อยสับ

2. เตรียมเครื่องเทศต่างๆ ได้แก่

– นำตะไคร้ กระเทียม หอมแดง และมะเขือเทศมาอิงไฟให้ร้อน ก่อนซอยให้เป็นแผ่นบางๆ แล้วตำบดให้ละเอียด ส่วนมะเขือเทศยังไม่ต้องตำ ให้ฝานเป็นชิ้นเล็กๆหรืออาจตำผสมด้วย แต่ให้ตำทีหลังที่เครื่องเทศอื่นละเอียดแล้ว

– ใบมะกรูดซอยเป็นฝอยเล็กๆ

– มะขามเปียกนำมาแช่น้ำประมาณ 3 ช้อน

3. นำเครื่องเทศที่ซอยไว้คลุกผสม ร่วมกับพริกป่น ผงชูรส และมะเขือเทศ ส่วนใบมะกรูดอาจคลุกผสมพร้อมหรือใช้โรยหน้าก็ได้ ซึ่งจะได้ปลาร้าบองสับพร้อมรับประทาน

สูตรที่ 2. ปลาร้าบองดิบทั้งตัว

ส่วนผสม

1. ปลาร้า ขนาดเล็ก 5-10 ตัว แล้วแต่ขนาด

2. ข่า 1 หัว

3. หัวตะไคร้ 1 หัว

4. กระเทียม 2 หัว

5. หอมแดง 2 หัว

6. พริกป่น 2 ช้อน

7. มะขามเปียก 1 ช้อน

8. ใบมะกรูด 5 ใบ

9. มะเขือเทศ 1 ลูก

10. ผงชูรส 1 ช้อนเล็ก (แล้วแต่ชอบ)

ขั้นตอนในการทำ

1. นำตัวปลาร้าวางใส่ถ้วย พร้อมกับน้ำปลาร้าประมาณ 2 ช้อน

2. เตรียมเครื่องเทศเหมือนข้อที่ 2 ของการทำปลาร้าบองดิบแบบสับ

3. เทเครื่องเทศลงผสม พร้อมกับปรุงรสด้วยชูรส ซึ่งจะได้ปลาบองดิบทั้งตัวที่พร้อมรับประทาน

ข้อแนะนำ

1. การใส่มะเขือเทศมักทำให้ปลาร้าบองเสียง่ายเมื่อเทียบกับไม่ใส่ ซึ่งหากใส่จะเก็บได้นานประมาณ 3-5 วัน ตามตู้กับข้าว แต่เก็บในตู้เย็นจะได้นานประมาณ ครึ่งเดือนถึง 1 เดือน

2. เครื่องเทศที่เก็บมาสดๆ ควรอิงไฟให้ร้อนเสียก่อน โดยเฉพาะตะไคร้ ข่า กระเทียม และหอมแดง ส่วนใบมะกรูดไม่ต้องอิงไฟก็ได้ ซึ่งจะช่วยยืดอายุของปลาร้าบองที่สามารถเก็บรักษากินต่อได้นานขึ้น

3. สำหรับผู้ที่ไม่ชอบรสเปรี้ยว ก็ไม่ต้องใส่มะขามเปียก

4. สำหรับผู้ที่ชอบหวาน ให้เติมน้ำตาลเล็กน้อย

สูตรที่ 3. ปลาร้าบองสุกแบบสับ

ส่วนผสม

– ใช้ส่วนผสมเหมือนกับการทำปลาร้าบองดิบแบบสับ

ขั้นตอนในการทำ

1. นำตัวปลาร้ามาสับให้ละเอียดตามข้อที่ 1 ของการทำปลาร้าบองดิบแบบสับ

2. เตรียมเครื่องเทศต่างๆ ตามที่กล่าวข้างต้น

3. นำปลาร้าที่สับแล้วมาคั่วให้สุก เมื่อสุกแล้วนำเครื่องเทศ และเครื่องปรุงลงผสม และคั่วต่ออีก 2-3 นาที ขณะคั่วให้ใช้ไฟอ่อน และหากไม่มีน้ำหรือแห้งมาก ให้เติมน้ำลงคั่วเป็นระยะ

4. นำลงตั้งไว้ให้เย็น ก็จะได้ปลาร้าบองสุกแบบสับพร้อมรับประทาน

ประโยชน์ของสมุนไพร ที่เป็นส่วนประกอบของแจ่วบอง

– ข่า เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้บิด ท้องอืด โรคหืด ขับเสมหะ และโรคหลอดลมอักเสบ ในข่าประกอบด้วย วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 แคลเซียม เส้นใยอาหาร และฟอสฟอรัส

– ตะไคร้ ใช้เป็นยาทาแก้ปวด เช่น โรครูมาติซัม อาการปวดตามบั้นเอว ช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะอย่างอ่อน ขับเหงื่อ แก้ตกขาว อาเจียน ลดความดันโลหิต ขับลม แก้ไข้ ปวดท้อง โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว และอาการปวดเกร็งในตะไคร้ประกอบด้วย วิตามินเอ แคลเซียม ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร และฟอสฟอรัส

– ใบมะกรูด ผสมมะกรูดช่วยขับลม แก้จุกเสียด แก้ลมวิงเวียน น้ำมะกรูดแก้เลือดออกตามไรฟัน ในมะกรูดประกอบด้วย เบต้า-แคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม และโปรตีน

– กระเทียม มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด ในกระเทียมประกอบด้วย เซเลเนียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ทำหน้าที่เป็นตัวประสานการทำงานของเอนไซม์ระหว่างวิตามินอี เอ และซี

– หัวหอม ขับลม ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ ขับประจำเดือน แก้ไข้ แก้หวัด ช่วยย่อยอาหาร เจริญอาหาร ในหอมแดงประกอบด้วย เซเลเนียมเป็นเกลือแร่ที่ทำหน้าที่เป็นตัวประสานการทำงานของเอนไซม์ระหว่างวิตามินดี เอ และซี

– พริก ช่วยย่อย ทำให้เจริญอาหาร ขับลมขับเหงื่อได้ดี ทำให้รูขุมขนสะอาด ผิวพรรณสดใส และมีสารต้านมะเร็ง ในพริกขี้หนูประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน เส้นใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และธาตุเหล็ก

ขอบคุณข้อมูลจาก : esan.life

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่