ไขปริศนา ” ยาคูลท์ ” เครื่องดื่มขวดจิ๋วสุดอร่อย กินแค่ขวดเดียวไม่เคยพอ
เชื่อว่าหลายๆคนคงจะชินตากับภาพของสาวยาคูลท์ที่ขับรถส่งยาคูลท์ไปตามบ้านหรือร้านค้าต่างๆ ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ว่าจะกินของยี่ห้ออะไรก็ไม่ได้รสแบบนี้ หากต้องการจะซื้อก็ต้องซื้อกับสาวยาคูลท์เท่านั้น ไม่สามารถซื้อตามร้านสะดวกซื้อต่างๆได้ และที่สำคัญคือมีขายเฉพาะขวดเล็กเท่านั้นไม่มีขวดใหญ่ รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์นี้ทำให้กินแค่ขวดเดียวก็คงไม่พอ
ซึ่งทำให้หลายๆคนอาจจะสงสัยกันบ้างแล้ว ว่ารสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของยาคูลท์ที่ทำให้กินแค่ขวดเดียวไม่เคยพอนี้มีเคล็ดลับอะไรซ่อนอยู่ วันนี้เราจึงมีข้อมูลของยาคูลท์มาไขความกระจ่างกัน
1. สิ่งที่อยู่ในขวดยาคูลท์ คือ นมคืนรูปขาดมันเนย น้ำตาล น้ำ สารแต่งกลิ่นเลียนธรรมชาติ และจุลินทรีย์ชิโรต้า 8 พันล้าน ตัวต่อ 1 ขวด
2. จุลินทรีย์ที่อยู่ในยาคูลท์ คือ “แลคโตบาซิลลัส คาซอิ” สายพันธุ์ชิโรต้า เป็นกลุ่มเชื้อแบคทีเรียกรดนมที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งมีอยู่แล้วตามธรรมชาติในลำไส้เล็ก เป็นสายพันธุ์ที่มีความพิเศษเฉพาะของยาคูลท์ เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ สำหรับชื่อสายพันธุ์ชิโรต้านั้น ได้ตั้งเป็นเกียรติแก่ ดร.มิโนรุ ชิโลต้า ผู้ค้นพบ
3. จุลินทรีย์ที่อยู่ในยาคูลท์ จะช่วยปรับสมดุลย์ของจุลินทรีย์ในลำไส้ ยับยั้งการสร้างสารพิษของแบคทีเรียที่ให้โทษ ช่วยให้ลำไส้ทำงานเป็นปกติ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อต่อสู้กับเซลล์มะเร็งและการติดเชื้อ
4. ยาคูลท์ 1 ขวด ให้พลังงาน 71 กิโลแคลอรี่
5. ยาคูลท์ไม่มีการเติมสีเจือปนใดๆ เลยแม้แต่น้อย สีที่เป็นเอกลักษณ์นี้เกิดขึ้นจากกระบวนการหมักที่ได้จากกระบวนการ Caramelisation ตามธรรมชาติ
6. ยาคูลท์ไม่มีการเติมสารกันบูดและสารกันการตกตะกอน (Stabilizer)เพราะกรดนมในยาคูลท์ที่เกิดจากจุลินทรีย์ชิโรต้าถูกสร้างขึ้นในระหว่างกระบวนการหมักที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์เน่าเสีย
7. ยาคูลท์เหมาะสำหรับกับผู้หญิงมีครรภ์ เนื่องจากในยาคูลท์มีจุลินทรีย์ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ เมื่อดื่มแล้วอาการท้องผูกหรืออาการไม่ย่อยในระหว่างตั้งครรภ์จะหายไป
8. ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับปริมาณแนะนำที่ควรดื่มในแต่ละวันคือ 1 ขวดเล็ก และการที่ร่างกายรับเชื้อจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสมากเกินไป จะทำให้ท้องเสียได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการผลิตขวดใหญ่
9. ทางผู้บริหารของยาคูลท์ได้ให้เหตุผลว่า ที่ไม่ยอมวางจำหน่ายสินค้าตามห้างสรรพสินค้า แต่เลือกที่จะให้สาวยาคูลท์เป็นตัวแทนจำหน่ายนั้นก็เพราะ กระบวนการผลิตไม่เพียงพอต่อลูกค้าและเพื่อเป็นการรักษานโยบายในการเลี้ยงพนักงานไม่ให้สาวยาคูลท์ต้องตกงานอีกด้วย
10. ตั้งแต่ปี 1935 ยาคูลท์เคยใช้ขวดแก้วใสกริ้งมาตลอด สรีระของขวดมีแรงบันดาลใจจาก “Kokeishi” ตุ๊กตาโบราณ จนกระทั่งปี 1968 ปรับเปลี่ยนมาใช้ขวดพลาสติกแบบที่เราเห็นๆ ในปัจจุปัน เพราะต้นทุนถูกกว่าและน้ำหนักเบากว่าขวดแก้ว รวมกันหลายขวดก็หลายกิโล ทำให้สาวยาคูลท์ในยุคใหม่ไม่ต้องแบกขวดแก้วหนักเกินเหมือนในอดีต
11. เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อยาคูลท์ในอดีตเป็นแม่บ้าน การมีคนส่งยาคูลท์เป็นผู้หญิงและแนะนำเรื่องสุขภาพให้ผู้หญิงด้วยกันฟังจะทำให้รู้สึกสนิทใจกันมากกว่า ประหนึ่งรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงนั่งเม้ามอย เพราะฉะนั้น “สาวยาคูลท์” จึงถือกำเนิดขึ้นมาด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ ค.ศ. 1963
12. จุดที่พลิกผันจริงๆ คือ เมื่อปี 2515 เกิดอหิวาตกโรคระบาดแถวปากน้ำ จ.สมุทรปราการ บริษัทยาคูลท์ไทยนำยาคูลท์เพื่อเยียวยาอาการผู้ป่วย ซึ่งตอนนั้นมีที่อาการหนักอยู่ 3 คน ซึ่งถ้าผู้ป่วยจะใช้ยาคูลท์แทนยาจะต้องหยุดดื่มยาทั้งหมด และต้องดื่มยาคูลท์ต่างน้ำ ปรากฏว่าสามชั่วโมงผ่านไป คนไข้ที่ดื่มยาคูลท์หยุดถ่าย และกลายเป็นกระแส talk of the town ณ บัดนั้น
13. ยาคูลท์รอบโลกมีไซส์ที่แตกต่างกัน เช่น ขวดไซส์ 100 มล. เห็นดาดดื่นที่สิงค์โปร์ ไต้หวัน และจีน แต่ที่นี่ประเทศไทยมีไซส์เดียวตลอดกาลนั่นคือ 80 มล. และขนาดนี้ก็มีขายเฉพาะ เกาหลี มาเลเซีย และอเมริกาเท่านั้น เพราะไซส์นี้มีจุลินทรีย์แลคโตบัลซิลัสมากกว่า 8,000 ล้านตัว เชื่อว่าเพียงพอสำหรับการสร้างสมดุลภายในลำไส้ เหมาะกับคนไทย และที่สำคัญ ถ้ากระซวกมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียขี้แตกขี้แตนไม่รู้ตัว!
14. กาลครั้งหนึ่ง ณ 1971 ยาคูลท์นึกเปรี้ยวอยากให้ผู้หญิงญี่ปุ่นงามหมดจรดปลายเท้า สกัดแบคทีเรียพันธุ์ดีอย่างแลคโตบัลซิลัสเป็นเครื่องสำอางครบทุกไลน์ มีสาวยาคูลท์เคาะประตูขายตรงถึงหน้าบ้าน จนกระทั่งขายในซาลอนอย่างเอิกเกริก หลังจากนั้นอีก 10 ปี เครื่องสำอางสายพันธุ์ยาคูลท์ต้องโบกมือลาหนังหน้าสาวๆ เพราะผู้บริหารอยากจะโฟกัสเฉพาะนมเปรี้ยว ไม่อยากให้เลอะเทอะไปกว่านี้
ขอขอบคุณ : yakultthailand