เป็นเพราะแบบนี้ แพทย์ถึงแนะนำให้กิน มะละกอสุก แทนยาแก้อักเสบ (รายละเอียด)
มะละกอเป็นผลไม้ที่นิยมปลูกกันในทุกถิ่นของไทย เพราะเป็นผลไม้ที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายของเรา อีกทั้งยังเรียกได้ว่าเป็นยารักษาโรคที่ดี วันนี้เราจะพาทุกท่านมาไขข้อสงสัยกันว่าทำไม แพทย์ถึงได้แนะนำให้กินมะละกอสุก แทนยาแก้อักเสบ
ทำไมแพทย์ผู้จ่ายยา แนะนำให้กิน มะละกอสุก แทนยาแก้อักเสบ?
โดยมะละกอดิบมักถูกนำไปทำเป็นส้มตำและแกงส้ม ตลอดจนนำไปดองเค็มแล้วทำให้แห้งเป็นของกินเล่นซึ่งเป็นอันตรายต่อไตของผู้นิยมบริโภคประจำ ส่วนมะละกอสุกนั้นเป็นผลไม้ประจำงานเลี้ยงต่าง ๆ และมักเป็นสมาชิกสำคัญของผลไม้กระป๋องที่ติดฉลากว่า ผลไม้รวม (ซึ่งมักไม่พ้นมะละกอกึ่งสุก สับปะรดออกเปรี้ยว และองุ่นไทยผสมกันในน้ำเชื่อม)
มะละกอสุก มีสรรพคุณเป็นยาระบาย ซึ่งผู้เขียนได้พิสูจน์ความจริงนี้แล้วในสมัยเรียนระดับปริญญาตรี เนื่องจากผู้เขียนมักเป็นหวัดบ่อยจึงไปขอยาจากหน่วยอนามัยของมหาวิทยาลัยและได้ยาปฏิชีวนะ (หลายคนเรียกว่ายาแก้อักเสบ…ซึ่งผิด) มากิน โดยทุกครั้งที่กินมักเกิดอาการท้องผูก (เนื่องจากยาไปทำลายสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่) จึงแจ้งแก่แพทย์ผู้จ่ายยา ก็ได้รับคำแนะนำให้กินมะละกอสุก ซึ่งต่อมาเมื่อเรียนสูงขึ้นจึงทราบว่า เนื้อมะละกอนั้นมีใยอาหารซึ่งเป็นอาหาร (พรีไบโอติก) ของแบคทีเรียกลุ่มแลคโตแบซิลัส (โปรไบโอติก) ซึ่งเมื่อแบคทีเรียกลุ่มนี้เจริญมากขึ้นก็จะเข้าควบคุมสถานการณ์ทำให้ระบบขับถ่ายเข้าสู่ความเป็นปกติ
งานวิจัยหลายชิ้นกล่าวว่า มะละกอสุกนั้นเป็นอาหารที่ลดความเสี่ยงของมะเร็งหลายอวัยวะในร่างกาย เพราะเป็นผลไม้ที่อุดมทั้งพฤกษเคมีต่าง ๆ เช่น สารฟลาโวนอยด์ วิตามินต่าง ๆ ซึ่งมีเบต้าแคโรตีนเป็นตัวชูโรงสำคัญ ตามด้วยโฟเลต ไทอามีน (วิตามินบี 1) ไรโบฟลาวิน (วิตามินบี 2) ไนอาซิน (วิตามินบี 3) กรดแพนโทเทนิก (วิตามินบี 5) วิตามินซี ฯลฯ สำหรับแร่ธาตุที่สำคัญคือ โปแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม เป็นต้น ดังนั้นผู้นิยมกินมะละกอสุกจะมีเหงือกสวย (ปลอดภัยจากโรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟันด้วยอิทธิพลของวิตามินซี) และผิวสวย
ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยได้ทุนทำวิจัยเกี่ยวกับอาหารไทยต้านพิษของสารก่อกลายพันธุ์ (ซึ่งสามารถแปลผลถึงการต้านมะเร็ง) จากสภาวิจัยแห่งชาติ อาหารจานที่ได้รับความสนใจมากที่สุดเนื่องจากผลการศึกษาพบว่า สามารถต้านสารพิษได้ดีในลำดับต้น ๆ คือ ส้มตำ (สูตรที่ใช้ศึกษาไม่ใส่ปูเค็ม เพราะปูมักมีเชื้อพยาธิ) ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจ เพราะเมื่อพิจารณาจากใยอาหารจากมะละกอ พร้อมทั้งเครื่องเทศและสมุนไพรที่ใช้ปรุงส้มตำแล้ว ผู้เขียนสามารถระบุได้เลยว่า ส้มตำเป็นองครักษ์พิทักษ์มะเร็ง ดังนั้นผู้เขียนจึงมักแนะนำผู้ที่นิยมกินอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารปิ้ง ย่าง รมควัน เนื้อสัตว์ต้มตุ๋นนาน และเนื้อหมักต่าง ๆ ให้กินอาหารนั้น ๆ คู่ไปกับส้มตำ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสาว ๆ ที่กินส้มตำสัปดาห์ละเจ็ดวัน วันละสามมื้อ
ผู้ที่กินมะละกอสุกเป็นของหวานหลังมื้ออาหารมักมีภูมิต้านทานดี ไม่ค่อยป่วยไข้เนื่องจากโรคติดเชื้อ เพราะร่างกายเราเปลี่ยนเบตาแคโรทีนที่ได้จากมะละกอสุกเป็นวิตามินเอ ประกอบกับเนื้อมะละกอมีวิตามินซีสูง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานร่วมกันกับโปรตีนและธาตุสังกะสีจากเนื้อสัตว์ในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน อีกทั้งวิตามินเอที่แปลงมาจากเบตาแคโรตีนนั้นสามารถป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งทำให้ผู้กินมะละกอสุกประจำมีดวงตาที่สดใส
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับมะละกออีกประการคือ ยางซึ่งได้จากผลดิบและลำต้นนั้น ได้ถูกนำไปใช้หมักเนื้อสัตว์ที่เหนียวมากให้เหนียวน้อยลงจนในบางครั้งผู้สูงอายุสามารถกัดได้นุ่มปาก เนื่องจากในยางมะละกอนั้นมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งชื่อว่า ปาเปน (Papain) ช่วยย่อยโปรตีนบางส่วนในเนื้อสัตว์ก่อนถูกนำไปปรุงให้สุก ดังนั้นผู้ที่กินมะละกอดิบในลักษณะส้มตำจึงได้ยางนี้ไปช่วยในการย่อยเนื้อสัตว์ในทางเดินอาหาร อย่างไรก็ดีการได้รับยางมะละกอที่อยู่ในมะละกอดิบเข้าปากนั้นเป็นดาบสองคม เพราะเนื้อยางนั้นน่าจะมีความเป็นพิษแฝงอยู่ โดยพิษนั้นเกิดขึ้นเฉพาะกับสาวที่กำลังตั้งท้อง
ขอบคุณข้อมูลจาก : Healthtoday Thailand – รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ – นักพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ