รวยแค่ไหน ก็ต้องเลี้ยงลูกแบบคนจน อยากให้พ่อแม่ทุกคนได้อ่าน

0

รวยแค่ไหน ก็ต้องเลี้ยงลูกแบบคนจน อยากให้พ่อแม่ทุกคนได้อ่าน

ในวันนั้นผมได้พาลูกไปร้านเครื่องเขียนแห่งหนึ่ง ลูกของผมอยากได้กล่องดินสอ มองหน้าพ่อแล้วบอกว่าอยากได้แบบนี้แบบนี้ ลูกของผมเลือกแบบหรูหรา แต่ผมให้ซื้อแค่แบบธรรมดาที่ใช้งานได้เหมือนกัน ลูกทำหน้างอทันที ร้องอยากได้ไม้บรรทัด ก็อยากได้แบบสวยงาม แต่ผมก็ให้เลือกแบบแค่พื้นฐานใช้งานได้เหมือนกันเพียงเท่านั้น ลูกก็ทำหน้าหงิกหน้างอเข้าไปอีก

ผมไม่ได้ว่าอะไร ตั้งใจก่อนนอนคืนนี้ จะชี้แนะลูกด้วยการเล่านิทานเปรียบเปรยให้เข้าใจ

หลังจากได้เป็นพ่อคนแล้ว ผมตั้งใจจะเลี้ยงลูกไม่ให้เหมือนแบบที่ชาวเอเชียเขานิยมทำกัน ที่มักไม่ยอมให้ลูกลำบาก ดูแลปกป้องแบบไข่ในหิน ประคบประหงมเกินพอดี

หลายปีผ่านไป ผมรู้สึกว่าวิธีการเลี้ยงลูกของผมจะลำบากมากขึ้นทุกวัน จนกระทั้งวันหนึ่ง ผมได้อ่านจดหมายเปิดผนึกฉบับหนึ่งที่โพสต์ลงในบอร์ดของมหาวิทยาลัยนานกิง จดหมายจากผู้ใช้นานว่า “พ่อผู้ขมขื่น” เขียนถึงลูกเขาที่เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้น แต่ไม่ได้เปิดเผยชื่อลูก

จดหมายฉบับนี้มีคุณค่ามากในสายตาของผม

ถึงลูกรักของพ่อ

แม้ลูกจะทำให้พ่อทุกข์ใจเกินบรรยาย แต่ลูกก็ยังเป็นลูกของพ่ออยู่วันยังค่ำ

หลังจากที่ลูกสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว อาจเป็นเพียงคนเดียวของตระกูลเราในรอบหลายชั่วอายุคนที่ทำได้สำเร็จ หลังจากนั้น พ่อชักไม่แน่ใจว่าตกลงใครเป็นพ่อและใครเป็นลูกกันแน่

พ่อช่วยแบกสัมภาระไปส่งลูกถึงหอพัก ช่วยกางมุ้ง ปูที่นอน ซื้อกับข้าวกับปลา ต้องสอนแม้กระทั่งวิธีบีบยาสีฟันออกจากหลอด ทั้งหลายทั้งปวง ดูเหมือนว่ามันเป็นหน้าที่ที่พ่อสมควรต้องทำให้ ไม่ได้ยินคำว่าขอบคุณสักคำจากลูกตั้งแต่ต้นจนจบ รู้สึกด้วยซ้ำว่าเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่พ่อผู้ด้อยความสามารถคนนี้มีโอกาสได้รับใช้ลูกทูนหัว ที่บัดนี้ได้เป็นนักศึกษาผู้ทรงเกียรติไปแล้ว

ปีแรกทั้งปี ที่บ้านได้รับจดหมายจากลูกสามฉบับ ข้อความรวมกันแล้วอาจยาวกว่าข้อความในโทรเลขหนึ่งฉบับสักหน่อย ข้อความย่นย่อ ลายมือหวัดอ่านยาก มีแต่คำว่า “เงิน” นี่ตั้งใจเขียนได้ชัดเจนที่สุด

พอขึ้นปีที่สอง จดหมายมาแบบถี่ๆ ล้วนขอเงินเพิ่ม ลีลาการเร่งเร้าให้ส่งเงิน ข้อความที่เรียกร้องความเห็นใจ รับรู้ได้ถึงว่า หากเรียนจบแล้ว ลูกสามารถไปยึดอาชีพเป็นพวกเจ้าหน้าที่เร่งรัดหนี้สินได้เยี่ยมแน่นอน

แต่สิ่งที่ทำให้พ่อเจ็บปวดที่สุดนั้น มาจากการที่ลูกอาจหาญถึงขั้นปลอมแปลงตัวเลขจำนวนเงินที่ต้องจ่ายค่าหน่วยกิตของมหาวิทยาลัย ไม่คิดว่าลูกจะใช้วิธีนี้ มาหลอกลวงเงินทองจากผู้เป็นพ่อแม่ที่ให้กำเนิด เลี้ยงดู รักใคร่ลูกมาตลอด เพียงเพื่ออยากได้เงินเพิ่ม ไปเที่ยวผับ เที่ยวบาร์และร้องคาราโอเกะ….

คิดถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่ก็เจ็บปวดเมื่อนั้น นอนไม่หลับ จนกลายเป็นโรคซึมเศร้า สาเหตุก็มาจากลูก คนที่พ่อเลี้ยงดูด้วยมือจนเติบใหญ่ แต่กลับกลายเป็นคนแปลกหน้าในร่างของนักศึกษา

ขอภาวนาในใจว่า นอกจากวิชาความรู้ต่างๆที่ลูกจะเรียนรู้จากสถาบันการศึกษาแล้ว ลูกจะกรุณาพัฒนาจิตใจให้เป็นคนซื่อสัตย์และกตัญญูรู้คุณด้วยก็จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด…….

หลังจากได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าผมยังต้องเดินหน้าทำตามนโยบายในการดูแลลูกตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก แม้จะรู้ว่ามันค่อนข้างลำบากในสังคมของเรา

มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนสมัยเรียนที่ย้ายไปออสเตรเลียกลับมาเยี่ยมบ้าน มีโอกาสได้นั่งคุยกัน เขาเล่าว่า คนออสเตรเลียนอกจากเชื่อถือในพระเจ้าแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเชื่อมั่นก็คือ วิธีการเลี้ยงลูกแบบ “จะรวยแค่ไหน ก็ต้องเลี้ยงลูกแบบจน”

พวกเขาเชื่อว่า เด็กที่เติบโตขึ้นมาภายใต้การดูแลปกป้องมากไปของพ่อแม่ เมื่อโตแล้ว จะไม่มีปัญญาที่สามารถยืนอยู่บนลำแข้งตัวเอง และก็จะไม่มีวันสำนึกบุญคุณคนอื่น แม้กระทั่งพ่อแม่ตนก็ตาม

วันถัดมาเรามีโอกาสออกไปทำธุระด้วยกัน เจอฝนระหว่างทาง เขาเห็นเด็กน้อยถูกห่อหุ้มด้วยผ้านวมอย่างหนากลมไปหมดทั้งตัว จนดูคล้าย “ลูกบอลยัดนุ่น” เขาบอกว่า “เด็กควรจะใส่เสื้อผ้าน้อยกว่าผู้ใหญ่หน่อย” เขาเล่าว่าในออสเตรเลีย แม้หน้าหนาวก็จะไม่เห็นเด็กที่ถูกห่อแบบ “ลูกบอลยัดนุ่น” เหมือนที่เห็น หรือในวันแดดจ้า แม้เด็กจะนั่งอยู่ในรถเข็นเด็ก แต่คนเป็นแม่ก็จะทำใจแข็ง ไม่ยอมดึงที่บังแดดออกมากันแดดให้ลูก เด็กที่วิ่งเล่นแล้วหกล้มเอง พ่อแม่ก็จะยืนดูเฉยๆให้ลูกลุกขึ้นมาด้วยตัวเขาเอง ต่างๆนาๆล้วนพยายามให้ลูกฝึกช่วยตัวเองและอดทนให้มากที่สุด

ธรรมเนียมของครอบครัวชาวเอเชียอย่างพวกเรา หลักการที่ยึดติดมานานกับนโยบายที่ว่า “จะยากจนแค่ไหน ก็ไม่ยอมให้ลูกต้องลำบาก”

สงสัยจะถึงเวลาต้องทบทวนกันใหม่ได้แล้ว

การเลี้ยงลูกของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ตอนลูกยังเล็กและอ่อนแอ บางชนิดอมลูกไว้ในปาก บางชนิดซุกลูกไว้ใต้ปีก กลัวลูกๆจะไม่ปลอดภัย แต่พอลูกเริ่มโตได้ที่แล้ว พวกเขาจะไล่ลูกออกไปอย่างไร้เยื่อใย ให้ลูกไปเผชิญกับโลกภายนอกเอง ไปฝึกวิทยายุทธเอง ไปเผชิญปัญหาและมรสุมทุกรูปแบบ แล้วชีวิตจะไม่เจอทางตัน เห็นหรือยังว่าแม้แต่สัตว์ทั้งหลายก็ยังรู้ถึงหลักการที่ว่า “โอ๋ลูกจนไม่ลืมหูลืมตา ก็คือการฆ่าลูกแบบเลือดเย็น”

“จะรวยแค่ไหน ก็ต้องเลี้ยงลูกแบบจน” ด้วยวิธีนี้จะบังคับให้ลูกๆทั้งหลายรู้จักยืนอยู่บนลำแข้งตัวเอง และรู้จักสำนึกและตอบแทนบุญคุณคนเป็นพ่อเป็นแม่

สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืม ถึงแม้คุณจะห่วงด้วยวิธีปกป้องหรือโอ๋ลูกขนาดไหนก็ตาม คุณคงไม่มีปัญญาตามไปวุ่นวายหรือดูแลพวกเขาในช่วงครึ่งหลังของชีวิตเขา เพราะตอนนั้นคงได้เวลาที่คุณจะได้หลับยาวไปแล้ว

ขอขอบคุณ : ขจรศักดิ์

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่