คู่รักที่รวยบอกพ่อ “ขอทาน” ว่าอย่ามางานให้ขายหน้า แต่วันนั้นพ่อกลับทำให้ทุกคนพูดไม่ออก!
เมื่อไม่นานมานี้เว็บไซต์ต่างประเทศนำเสนอเรื่องราวของชาวเน็ตท่านหนึ่ง โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า.. ในหมู่บ้านนี้ มีเสี่ยคนหนึ่งชื่อนายหวัง ถึงแม้ใครๆ จะเรียกแกว่าเสี่ย
แต่จริงๆ แล้วชายคนนี้กำพร้าตั้งแต่เด็ก ไร้ที่พึ่งพิง ได้แต่ขอข้าวคนในหมู่บ้านกินเพื่อประทังชีวิต เมื่อเติบใหญ่จึงกลายเป็นขอทาน แต่เขากลับไม่เคยคิดทุกข์ร้อนใจ กลับคิดว่าขอแค่มีข้าวกินอิ่มท้องก็เพียงพอแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่ง…
เสี่ยหวังเคยชินกับชีวิตแบบนี้เสียแล้ว คือดูแลแค่ปากท้องตัวเองให้กินอิ่มก็พอ แต่เขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้นานนัก วันหนึ่ง เสี่ยหวังพบเด็กคนหนึ่งในกองขยะ แล้วจากนั้นชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป เขาจะคำนึงถึงแต่ความอิ่มท้องของตัวเองไม่ได้อีกแล้ว แต่ต้องหาเงิน เพื่อเลี้ยงดูเด็กคนนี้ และในอนาคตจะต้องส่งเสียให้เขาเรียนหนังสือ
เขาตั้งชื่อให้เด็กคนนี้ว่า หวังเสี่ยวเหมิง เมื่อมีเด็กคนนี้มาอยู่ด้วย เสี่ยหวังต้องใช้เวลาในการขอทานนานขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว เด็กน้อยได้เรียนชั้นประถม มัธยม ตลอดจนมหาวิทยาลัย จนถึงทุกวันนี้ก็เป็นเวลา 30 ปีมาแล้ว เด็กหนุ่มเรียนจบมหาวิทยาลัย สอบได้เป็นข้าราชการ และมีการงานที่มั่นคง
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มที่เขาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มาอย่างยากลำบากคนนี้ก็มีแฟน ครอบครัวของเธอทำธุรกิจ ฐานะทางบ้านดีกว่าเขามาก เมื่อพ่อแม่ของแฟนสาวรู้ว่าพ่อของเสี่ยวเหมิงเป็นขอทาน ก็สั่งห้ามไม่ให้เขาทั้งสองคบหากันอย่างเด็ดขาด แต่สุดท้ายด้วยความดื้อดึงของลูกสาว และเห็นแก่หน้าที่การงานของชายหนุ่มที่ทำงานข้าราชการ สุดท้ายก็ยินยอมด้วยความไม่เต็มใจ แต่พวกเขามีเงื่อนไขข้อหนึ่งคือ ในวันแต่งงาน ห้ามไม่ให้พ่อที่เป็นขอทานมาร่วมงาน
อันที่จริงเสี่ยวเหมิงก็ไม่ได้อยากให้พ่อมาร่วมงานเท่าไหร่นัก เพราะกลัวว่าจะขายหน้าเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า ทั้งยังคิดว่าไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของตัวเอง จะมาไม่มาก็ไม่ได้มีผลอะไร
งานแต่งงานกำลังจะจัดขึ้นในวันรุ่งขึ้นอยู่แล้ว สุดท้ายเสี่ยหวังก็มารู้ข่าวการแต่งงานจากเพื่อนของเขาเอง ซึ่งก่อนหน้านี้เสี่ยวเหมิงไม่เคยบอกเสี่ยหวังเรื่องการแต่งงานเลย เพราะกลัวว่าเขาจะไปร่วมงาน เมื่อเสี่ยหวังรู้ข่าว ก็รีบไปพบเสี่ยวเหมิงทันที พร้อมทั้งถามเขาว่า การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมไม่บอกพ่อสักคำ ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ แต่ก็เลี้ยงดูแกมาตั้ง 30 ปี ฉันก็หวังเพียงจะได้เห็นแกได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเนี่ยแหละ
เสี่ยวเหมิงจึงได้เล่าเรื่องที่เขากังวลใจให้พ่อฟัง ว่าพ่อตากลัวจะขายหน้า และผมเองก็อาย ได้ยินดังนั้น ก่อนที่พ่อจะกลับไปได้บอกกับเขาว่า งานแต่งพรุ่งนี้ฉันจะไปแน่ ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่ทำให้แกขายหน้าหรอก แล้วเขาก็เดินจากไปช้าๆ ท่ามกลางเสียงวิงวอนของลูกชาย
งานแต่งเริ่มขึ้นแล้ว บรรยากาศในงานดูโอ่อ่าอลังการ เพื่อนสนิท มิตรสหาย เพื่อนร่วมงานและหัวหน้าต่างก็มาร่วมงาน จนเมื่อพิธีกรจะกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ ก็มีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาบอกว่า พ่อของเสี่ยวเหมิงมาแล้ว ออกมาดูกันเร็ว เสี่ยวเหมิงเตรียมใจไว้แล้ว จะขายหน้าก็ต้องขายหน้าแล้วล่ะ ทั้งพ่อตา แม่ยาย และญาติๆ ต่างก็ออกมารอดูเรื่องตลกกัน
เมื่อออกไปก็เห็นเพียงรถหรูยี่ห้อออดี้จอดเรียงรายอยู่ 10 คัน หรูหราอลังการกว่าขบวนรถที่เขาเตรียมไว้รับเจ้าสาวเสียอีก พ่อของเขาใส่ชุดสูทลงมาจากรถคันหนึ่ง รถคันอื่นๆ ก็มีคนใส่ชุดสูทลงจากรถมา ทุกคนที่เห็นต่างก็มองกันอย่างตกตะลึง พ่อได้กู้หน้าคืนให้ลูกชายสำเร็จแล้ว ในขณะที่กินข้าว พ่อตา แม่ยาย และหัวหน้าของลูกต่างก็มาร่วมชนแก้วเพื่อแสดงความเคารพ
งานแต่งงานเสร็จสิ้นลงอย่างราบรื่น เสี่ยวเหมิงวางแผนว่าหลังจากเสร็จงานจะกลับไปถามความจริงจากพ่อ แต่เมื่อกลับไปก็พบว่าหาพ่อไม่เจอเสียแล้ว สุดท้าย ตำรวจพบร่างไร้วิญญาณของพ่อเขาในรูเล็กๆ ใต้สะพาน แท้ที่จริงแล้ว เพื่อไปร่วมงานแต่งงานของลูกชาย เสี่ยหวังนำเงินจำนวน 1 แสนหยวนที่ตั้งใจจะเก็บไว้รักษาอาการป่วยของตัวเอง ไปเช่ารถหรู ซื้อเสื้อสูทแบรนด์เนม นาฬิกาแพงๆ พร้อมทั้งยังเรียกเพื่อนๆ ขอทานให้มาร่วมงาน ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อรักษาหน้าตาของลูกชาย
เสี่ยหวังทำขนาดนี้เพื่อลูกชายที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเลยแม้แต่น้อย ทุกคนคิดว่าการเป็นผู้ให้อย่างจริงใจเช่นนี้เป็นเรื่องดีไหม?
ขอขอบคุณ : liekr