ภรรยาไปทำงานในเมืองไม่กลับบ้านเลย 2 ปี ผมตัดสินใจอุ้มลูกไปเยี่ยมเธอ แล้วภาพที่ผมเห็นก็…!!
เรื่องราวมีอยู่ว่า.. ผมอาศัยอยู่ต่างจังหวัดมาตั้งแต่เล็กๆ จบม.ต้นก็ออกมาทำงาน ความปรารถนาเดียวในชีวิตก็คือมีภรรยาดีๆ และมีลูกน่ารักๆสักคน มีชีวิตครอบครัวเรียบง่ายแต่มีความสุข แม่บอกให้ผมเก็บเงินให้ได้สักก้อนแล้วค่อยไปขอเมีย ผมเองก็มุ่งมั่นทำงานเก็บเงินเพื่อสิ่งที่ตัวเองหวัง
ผมแต่งงานกับภรรยาตอนอายุ 26 พวกเราเป็นเพื่อนนักเรียนกันสมัยเรียนประถม บ้านเธออยู่หมู่บ้านข้างๆ เนื่องจากพวกเรารู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก พอมาเจอกันอีกทีก็รู้สึกว่าเขากันได้ ไม่นานก็ตัดสินใจแต่งงานกัน เพื่อจะให้ลูกได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ ผมจึงคิดจะไปซื้อบ้านในเมือง แต่ตอนนั้นทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงินเก็บแค่ 7.5 แสน ไม่พอซื้อบ้าน โชคดีที่บ้านแฟนเข้าใจ สินสอดที่ผมให้ไป 4 แสน พ่อแม่ภรรยาเอาไปรีโนเวตบ้านใหม่ให้พวกเราเข้าไปอยู่ แม้ว่าจะมีบ้านอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังอยากไปซื้อบ้านในเมืองสักหลัง เมียผมก็คิดแบบเดียวกัน ทำให้หลังแต่งงานได้ 1 เดือนพวกเราจึงเข้าไปทำงานในเมืองด้วยกัน
ผมไปเป็นคนงานในไซต์ก่อสร้าง ส่วนภรรยาไปเป็นแม่บ้าน แม้ว่าพวกเราจะเช่าห้องเล็กๆแค่เดือนละพัน แต่มีภรรยาอยู่ด้วยกัน ช่วงนั้นแม้ว่าจะลำบากแต่ก็มีความสุข เวลาผ่านไปไม่นานภรรยาก็ท้อง หลังจากคลอดลูกภรรยาก็อยู่ดูแลตัวเอง ดูแลลูกที่บ้าน ส่วนผมก็ออกไปทำงานข้างนอกตามปกติ
แต่วันคืนดีๆก็อยู่กับเราได้ไม่นาน ตอนลูกอายุ 1 ขวบ ผมประสบอุบัติเหตุในไซต์งาน แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ไม่สามารถทำงานหนักๆได้อีก เงินชดเชยที่บริษัทจ่ายให้แม้ว่าจะพอสำหรับการใช้ชีวิต แต่เมื่อผมไม่สามารถทำงานได้ การเงินในครอบครัวก็เริ่มมีปัญหา เพราะอย่างนั้น ภรรยาก็เลยยกเลิกบ้านเช่า ให้ผมกับลูกกลับไปอยู่บ้านนอก ส่วนเธอก็ไปหางานแม่บ้านที่มีที่พักให้ทำ
ด้วยความเป็นผู้ชาย เห็นเมียต้องเสียสละขนาดนั้น ผมก็ไม่เห็นด้วย แต่ภรรยาที่อ่อนโยนมาตลอดกลับโกรธเพราะเรื่องนี้ ในใจผมก็รู้ว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด แม้ว่าจะรู้สึกละอายใจก็ตาม เพื่อจะแบ่งเบาภาระของเธอ ผมก็เลยตกลงทำตาม ตอนแยกจากกันภรรยาบอกให้ผมดูแลลูกดีๆ เธอจะพยายามส่งเงินมาให้ตลอด
ภรรยาเล่าให้ฟังว่าบ้านใหม่ที่เธอไปทำงานค่อนข้างเรื่องมาก จากตอนแรกคุยกันไว้ว่ามีวันหยุดเดือนละวัน แต่เพราะภรรยาผมต้องดูแลคุณย่าที่เป็นอัมพาต ทำให้แม้แต่วันเดียวก็หยุดงานไม่ได้ เพราะงั้นผมเลยไม่ได้เจอภรรยามานานมากแล้ว
ภรรยาเล่าว่าเจ้าของบ้านไม่ค่อยใส่ใจคุณย่า ไม่เคยมาหา ปกติก็มีแต่เธอที่คอยดูแลคนเดียว ภรรยาผมได้เงินเดือนเป็นสองเท่า แม้ว่าจะไม่ได้กลับบ้าน แต่ก็ถือว่าไม่เลว ผ่านไประยะหนึ่ง คุณย่าก็เสีย ภรรยาผมก็ไม่มีงานทำ ไม่นานเธอก็หางานใหม่ได้ ส่งข่าวมาบอกให้ผมสบายใจ แต่ก็ไม่ได้บอกว่างานอะไร
ถึงปลายปี ภรรยาก็ไม่ได้กลับมาฉลองปีใหม่ด้วยกันเช่นเคย ผมไม่ได้เจอเธอนานมาก เริ่มเป็นห่วง และกลัวเธอจะลำบาก แถมเธอไม่เคยเล่าว่างานใหม่ทำอะไร ผมก็เริ่มวิตกกังวล จึงตัดสินใจแอบพาลูกไปดูเธอ
ระหว่างทาง ผมรู้สึกละอายใจ พร้อมกับกังวล ละลายใจที่ไม่สามารถรับผิดชอบภาระครอบครัวได้ ต้องให้ภรรยาทำงานหาเลี้ยง ในขณะเดียวกันก็เป็นกังวล แม้ว่าจะเชื่อใจภรรยา แต่ในใจลึกๆผมก็กลัวว่าเธอจะทิ้งผมไป
ผมหาโรงงานตามที่อยู่ที่ภรรยาให้ไว้เจอ ดูจากภายนอกน่าจะเป็นโรงงานทำรองเท้า แม้ว่าจะยืนอยู่ตั้งไกลจากโรงงาน แต่ผมก็ยังได้กลิ่นฉุนของยาง ผมบอกกับยามหน้าประตูว่ามาหาภรรยาชื่อนี้ แต่ยามก็ไม่ยอมให้ผมเข้าไป ให้ผมนั่งรอหน้าประตูเดี๋ยวภรรยาจะออกมาหาเอง ผ่านไป 4 ชั่วโมง ภรรยาก็ออกมา มองเห็นจากไกลๆเธอผอมลงไปมาก แถมดูซีดเซียว
เมื่อเห็นเมียผอมลงไปขนาดนั้น ผมก็สะเทือนใจ ละอายใจ ผมอุ้มลูกเดินไปหาเธอ แต่ลูกก็จำแม่ไม่ได้ เอาแต่หลบด้านหลังผม ไม่ยอมพูดกับภรรยา ผมเห็นภรรยาหน้าตาเหมือนคนใจสลาย ภาระหน้าที่ในชีวิตจริงลบความงามของเธอไปจนหมด การทำงานที่เหน็ดเหนื่อยติดต่อกันนานๆ ร่างกายก็แย่ลง เมื่อไปถึงที่พักของภรรยา ผมเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าสภาพแย่มาก คน 12 คนนอนอัดกันอยู่ในห้องเล็กๆ ทั้งมืดทั้งชื้น
ผมไม่สามารถกดความรู้สึกผิดและคำขอโทษได้อีกต่อไป น้ำตาผมไหลออกมาไม่หยุด ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ทำให้ภรรยาต้องลำบากขนาดนี้ ผมจับมือเธอแน่น พวกเราไม่ต้องอยู่ในเมืองก็ได้ ผมจะพาคุณกลับบ้าน ในหมู่บ้านเล็กๆนั่น แม้ว่าจะไม่มีชีวิตสะดวกสบาบ แต่คุณจะไม่ต้องลำบากแบบนี้ ภรรยาผมก็ร้องไห้ เธอรับปากผม แล้วผมก็พาเธอกับลูกกลับบ้าน ในใจผมเต็มไปด้วยความละอายใจ ผมนึกอยู่ในใจว่ากลับบ้านไปแล้วผมจะชดเชยให้เธอทั้งชีวิต จะดูแลเธออย่างดี
หลังกลับมาอยู่บ้านนอกได้หนึ่งเดือน ผมกับภรรยาปรึกษากันว่าจะเปิดร้านขายของ ขาผมเดินไม่คล่องดูก็ดูแลเรื่องเก็บเงินไป เธอจะดูแลเรื่องของเข้าร้านเอง เพื่อจะชดเชยให้ภรรยา และหาเงินให้ได้เยอะๆ ผมมักจะอยู่ร้านจนค่ำมืด แล้วก็ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง คนในพื้นที่ใกล้เคียงเห็นผมเป็นคนพิการ เวลาขาดเหลืออะไรก็จะมาช่วยอุดหนุนที่ร้าน ผมก็พยายามจะให้ราคาที่ดีที่สุด ผ่านไปหนึ่งปี เราสองสามีภรรยาเหนื่อยมาก แต่กลับสบายใจ ปลายปีพวกเรามีเงินเก็บเกือบ 5 แสน
ต้นปีที่สอง ในหมู่บ้านมีไซต์ก่อสร้างใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมก็เลยเปิดบริษัทขายวัสดุก่อสร้างข้างๆร้านขายของ ในหมู่บ้านมีตึกสวยๆเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ร้านผมก็ยิ่งขายดีขึ้นเท่านั้น ภรรยาเห็นลูกค้าเข้าๆออกๆมากมายก็ยิ้มอย่างดีใจ
ทุกครั้งที่นึกถึงภาพตอนภรรยาทำงานในเมือง ผมก็จะรู้สึกผิดขึ้นมาในใจ บวกกับช่วงหลังๆเก็บเงินได้พอสมควร ผมจึงแอบซื้อรถมือสองให้เธอคันนึง แม้ว่ารถจะค่อนข้างเก่า แต่สำหรับพวกเราแล้ว มันเพียงพอ พอภรรยาเห็นรถก็ทำสีหน้าเข้มงวดใส่ผมแล้วว่า : “จะซื้อมาทำไมรถเนี่ย มอเตอร์ไซค์ก็มีอยู่แล้ว เสียดายเงิน” แต่พอเธอเข้าไปนั่งในรถ จับพวงมาลัย เธอก็ยิ้มออกมา
หลังจากนั้น 3 ปี พวกเราก็ซื้อบ้านหนึ่งหลังในเมือง รับพ่อแม่มาอยู่ด้วยกัน แล้วก็เปิดซุปเปอร์มาเก็ตขนาด 900 กว่าตารางเมตร ทุกวันภรรยาขับรถพาผมไปซุปเปอร์ ซื้อของแล้วกลับมาทำอาหารกินกัน
กลางคืนเวลาเงียบๆ ผมจะไปยืนตรงหน้าต่าง มองภาพแสงไฟในเมือง แล้วนึกถึงสิ่งที่ภรรยาทำเพื่อครอบครัว ผมจะบอกตัวเองเสมอว่า ชีวิตนี้ผมลำบากได้ แต่ภรรยาต้องสบาย การได้แต่งงานกับเธอ เป็นโชคดีที่สุดในชีวิตของผม
ขอขอบคุณ : liekr