แม่ที่ระเบิดอารมณ์ใส่ลูกบ่อยๆ รู้หรือไม่ “ลูกคิดอะไร” อ่านบทความนี้จบ!! คุณจะยังกล้าตวาดอีกไหม?

0

แม่ที่ระเบิดอารมณ์ใส่ลูกบ่อยๆ รู้หรือไม่ “ลูกคิดอะไร” อ่านบทความนี้จบ!! คุณจะยังกล้าตวาดอีกไหม?

ถ้าคุณถามคุณแม่สักคน ว่าตอนลูกอายุเท่าไหร่ที่คุณแม่เบาใจที่สุด คุณแม่คนนั้นจะต้องตอบว่าตอนเป็นทารก เพราะตอนนั้นเด็กๆจะแค่กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน ไม่ต้องเป็นกังวลใดๆ แต่พร้อมๆกับที่ลูกโตขึ้น ความอดทนของพวกเราก็มีขีดจำกัดที่ต่ำลงเรื่อยๆ บ่อยครั้งที่ทนไม่ไหวจนตะคอกหรือตะโกนใส่เด็กๆ แล้วก็ต้องมาเสียใจทีหลัง

เพราะว่าลูกโตแล้ว สิ่งต่างๆไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่เราสามารถควบคุมได้อีกต่อไป เพราะงั้นพวกเราเลยมักจะโมโหพวกแก แต่พอทำไปแล้ว ก็ต้องมานั่งเสียใจ ในเมื่อลูกก็เป็นคนๆหนึ่ง เขามีความคิดของตัวเอง ทำไมเราต้องไปบังคับให้เขาทำแบบที่เราต้องการด้วย

บางทีหลังจากคุณระเบิดอารมณ์ไปแล้ว คุณจะคิดว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว แต่คุณรู้มั้ยว่าตอนที่คุณตวาดลูกไปเมื่อกี้นี้ จิตใจของแกจะเป็นยังไงบ้าง เกี่ยวกับปัญหานี้ มีอาจารย์คนหนึ่ง ใช้วิธีการวาดรูปเพื่อให้เด็กๆแสดงความรู้สึกที่แท้จริง

“Schreimutter” เป็นหนังสือภาพเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ที่โด่งดัง จนได้รับรางวัลพิเศษสำหรับภาพประกอบ

เมื่อเช้า.. อยู่ดีๆแม่ฉันก็โมโหใหญ่ แม่ตวาดฉันเสียงดัง

ฉันตกใจจนร่างกายแยกออกเป็นชิ้นๆ

หัวของฉันลอยไปในจักรวาล

พุงของฉันตกลงไปในทะเลลึก

ปีกของฉันตกลงไปในป่า

ปากของฉันไปติดอยู่บนภูเขาสูง

แล้วหางของฉันล่ะ? มันไปตกอยู่กลางถนน

ฉันเหลือแค่ขาสองข้าง วิ่งสิวิ่ง… ฉันอยากร้อง แต่ไม่มีปาก ฉันอยากมอง แต่ไม่มีตา ฉันอยากบิน แต่ไม่มีปีก วิ่งสิวิ่ง ฉันวิ่งจนเย็นถึงทะเลทรายซาฮาร่า ฉันเหนื่อยแล้ว ตอนนั้นเงาใหญ่เข้ามาปกคลุมตัวฉัน

ที่แท้ก็คือแม่ขี้โมโหของฉันขับเรือมาตามหาฉัน แม่เอาส่วนต่างๆที่หลุดลอยไปในที่ต่างๆกลับมาให้ฉัน เอากลับมาเย็บกลับไปอยู่ที่เดิม

แล้วสุดท้ายก็มาเจอเท้าของฉัน ก็เอามันเย็บเข้าด้วยกัน

“แม่ขอโทษ” แม่ขี้โมโหบอกฉัน แล้วพวกเราก็ขับเรือกลับบ้านกัน เรื่องราวจบลงแบบนี้ แต่จิตใจของฉันกลับยากที่จะสงบลง จำได้ว่าไม่กี่วันก่อน ลูกบอกฉันว่า : “แม่คะ ถ้าหนูมีน้อง หนูจะพูดกับน้องดีๆ จะไม่ทำเหมือนที่พ่อแม่ทำกับหนู ไม่โมโห ไม่ตวาด”

มีบางครั้ง ฉันโกรธจนพูดเสียงดังใส่ลูก แกร้องไห้แล้วบอกฉันว่า : “แม่คะ อ่อนโยนกับหนูหน่อย”

จริงๆแล้ว หลายๆครั้งที่ฉันพยายามควบคุม เพราะฉันเป็นเด็กที่ถูกตวาดด้วยเสียงอันดังมาก่อน เมื่อก่อนฉันไม่เข้าใจ ทำไมคนในบ้านถึงขี้โมโห คุณย่าชอบโกรธ พ่อก็ชอบโมโห ทำให้ฉันกลายเป็นคนแบบนี้

ต่อมาฉันถึงได้ตระหนักว่าครอบครัวส่งผลกระทบต่อฉันอย่างมาก ในเมื่อผู้ใหญ่ที่บ้านล้วนเป็นคนแบบนั้น ใช้คำพูดแบบนั้นในการสื่อสารกัน ทำให้ฉันกลายเป็นคนแบบนี้

แต่ฉันก็รู้สึกว่าฉันทำไม่ถูก หลายๆครั้งที่ฉันทำให้คนไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว เพราะโทนเสียงของฉันทำให้คนอื่นเข้าใจผิด แม้ว่าจะเป็นการพูดด้วยความหวังดี แต่คนอื่นไม่อินด้วย

จนวันหนึ่ง เมื่อลูกสาวทำน้ำเสียงเหมือนกับฉัน ฉันถึงรู้ว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ฉันให้ลูกเตือนสติเวลาฉันพูดเสียงดัง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่ง่าย แต่ฉันก็ค่อยๆรับรู้ได้ว่า บรรยากาศในครอบครัวดีขึ้นมาก อารมณ์ของตัวเองก็ดีขึ้น จริงๆแล้ว ตอนแรกๆที่ฉันหงุดหงิดใส่ลูก ก็เพราะแกยุ่งตอนฉันทำงาน เมื่อเจอปัญหาแล้ว ฉันก็พยายามทำงานที่ออฟฟิศให้เต็มประสิทธิภาพที่สุด เมื่อกลับมาบ้าน จะได้มีเวลาให้ลูกอย่างเต็มที่ หรือเวลาที่จำเป็นต้องใช้มือถือหรือใช้คอมพิวเตอร์ ฉันก็จะบอกลูกอย่างชัดเจน “แม่จำเป็นต้องดูมือถือแป็ปนึง น่าจะประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะมีงานสำคัญ” เมื่ออธิบายให้แกฟังดีๆ ลูกก็เข้าใจ เพราะว่าพวกแกรู้เรื่องกว่าที่เราคิดมาก

วิธีการที่พ่อแม่ใช้พูดคุยกับลูก ก็คือวิธีที่ลูกจะใช้สื่อสารกับคนอื่นในสังคม พวกเราจำเป็นต้องควบคุมอารมณ์ตัวเอง บอกลูกว่า : การพูดจาเสียงดังแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ โมโหโกรธาก็แก้ปัญหาไม่ได้ ในทางกลับกัน เมื่อเราควบคุมอารมณ์แล้วคุยกับคนอื่นดีๆ เราจะพบว่าเรื่องมันไม่ได้แย่ขนาดที่เราคิด!

พ่อแม่ทุกคนรู้ว่า เวลาเราโมโห ส่งผลกระทบต่อลูกอย่างมาก ลูกของคุณจะเหมือนเพนกวินในเรื่อง เมื่อคุณตวาดใส่ แกจะตกใจจนกระเจิดกระเจิง แล้วลูกก็จะเอาวิธีที่คุณทำกับแกไปใช้กับเพื่อน เมื่อโตขึ้นเขาก็จะทำแบบนั้นกับคนรัก และลูกของเขา เพราะเขาเคยชินกับวิธีการแบบนั้นมาตั้งแต่เด็ก นอกเสียจากว่า เขาจะมีสติรับรู้ได้ถึงปัญหา และตัดสินใจเปลี่ยนแปลง!

เราเป็นคนธรรมดา โกรธได้บ้าง แต่หลังจากนั้น อย่าลืมขอโทษลูก บอกแกว่าทำไมคุณถึงโมโห แม้ว่าคุณจะโมโหใส่แก แต่ไม่ได้แปลว่าแกไม่ดี ไม่ได้แปลว่าคุณไม่รักแก

จุดสำคัญก็คือ ต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ อย่าให้มันกลายเป็นนิสัยเสีย สิ่งที่คุณทำกับลูกจะติดอยู่กับตัวแก ถ้าคุณมอบสิ่งที่ดีให้ แกก็จะมีพลังมีความสุข แต่ถ้าคุณมอบบาดแผลให้ แกก็จะเจ็บปวดไม่มีที่สิ้นสุด

ก็เหมือนกับเจ้าเพนกวิน แม้ว่าจะถูกเย็บกลับมาเหมือนเดิม แต่ก็มีรอยแผลเป็นเต็มตัว ทุกครั้งที่คุณระเบิด จะสร้างแผลให้กับลูก

เด็กๆบอกบาง ใสสะอาด คุณควรจะใช้ความอ่อนโยน พูดจากับแกดีๆ แกฟัง ถ้าแกไม่ฟัง คุณก็ต้องเปลี่ยนวิธีในการพูด…

ขอขอบคุณ : liekr

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่