โรคเกาต์รักษาหายได้ ด้วยมะเฟืองเปรี้ยวสุก จริงหรือ?
เกาต์ หรือ เก๊าท์ (Gout) เป็นโรคปวดข้อเรื้อรังชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง (พบได้ประมาณ 2-4 คน ใน 1,000 คน) จัดเป็นโรคของผู้ใหญ่ในวัยตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป โดยอายุ 40-60 ปี จะพบโรคนี้ได้ประมาณ 2% และอายุ 60 ปีขึ้นไป จะพบได้ประมาณ 4% สังเกตได้ว่ายิ่งอายุมากขึ้นโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ก็มากขึ้นตามไปด้วย มักพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 9-10 เท่า ส่วนในผู้หญิงจะพบได้น้อย หรือถ้าพบก็มักจะเป็นผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว (มักเริ่มเป็นเมื่ออายุ 55 ปีขึ้นไป) โดยทั่วไปมักเกิดกับข้อเพียงข้อเดียว ในบางครั้งอาจเกิดกับหลายข้อได้พร้อมๆ กันก็ได้ แต่ข้อที่พบได้บ่อยมากที่สุดคือ นิ้วหัวแม่เท้า (อ่านให้จบ เพราะมีคนเข้าใจผิดหลายคน)
เมื่อเป็นแล้วจะทรมานมาก เวลากินอาหารแสลงเข้าไป ข้อเท้าจะบวมฉึ่งเจ็บปวดมากจนเดินไม่ได้ ในทางสมุนไพรมีสูตรรักษาหลายสูตร เคยแนะนำไปบ้างแล้ว สามารถบรรเทาได้ระดับหนึ่ง (อ่านให้จบ เพราะมีคนเข้าใจผิดหลายคน)
สำหรับมะเฟืองเปรี้ยวสุก เป็นอีกสูตรหนึ่งที่นิยมใช้กันมาแต่โบราณ เป็นสูตรเฉพาะกลุ่ม ได้รับการบอกเล่าจากผู้ใจดีว่าสามารถทำให้โรคเกาต์หายขาดได้ จึงรีบแนะนำผู้อ่านให้นำไปใช้ (มีคนแชร์เยอะ และบอกมาว่ารักษาได้จริง?)
แต่ความจริงไม่ใช่เลยนะครับ อ่านต่อครับ
X โดยมีวิธีทำง่าย ๆ คือ (อ่านให้จบ เพราะมีคนเข้าใจผิดหลายคน อันนี้คือวิธีที่มีคนแชร์ต่อไปเยอะมาก)
- ให้เอาผลมะเฟืองเปรี้ยวสุก จำนวน 1 ผล
- ใส่เกลือป่นเล็กน้อย
- น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำต้มสุกกะให้ได้ 2 แก้วต่อวัน
- ปั่นให้เข้ากันจนละเอียด
- กินครั้งละเกือบเต็มแก้วเช้าเย็นก่อนอาหาร
- ทำกินติดต่อกัน 6 วัน
วิธีที่กล่าวมาข้างต้น เป็นวิธีที่ไม่สามารถรักษาได้ เนื่องจากมีหลายคนเข้าใจผิด และทำการเขียนบทความ ทำให้สื่อต่างๆ พากันแชร์ไปเยอะมาก ทางเราเลยอยากนำเสนอในส่วนนี้ ดูที่ยูทูปได้เลยครับ
สรุปอยู่ตรงนี้นะครับ (อ่านให้จบ เพราะมีคนเข้าใจผิดหลายคน)
คำแนะนำเกี่ยวกับโรคเกาต์
- เมื่อมีอาการผิดปกติของข้อเกิดขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยแยกโรคว่ามีสาเหตุมาจากอะไร ส่วนผู้ที่เป็นโรคเกาต์หรือเคยเป็นโรคเกาต์มาก่อน ควรไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ และควรรีบไปพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อผู้ป่วยมีอาการผิดปกติไปจากเดิมหรืออาการต่าง ๆ เลวร้ายลง หรือเมื่อมีความกังวลใจในอาการที่เกิดขึ้น
- โรคเกาต์แม้จะเป็นโรคเรื้อรัง แต่ก็ไม่เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต (ถ้าไม่ปล่อยให้เป็นเรื้อรังจนเกิดไตวาย) และหากได้รับการรักษาอย่างจริงจัง ก็สามารถป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรเข้ารับการรักษาอย่าได้ขาด กินยาตามที่แพทย์สั่งไปตลอดชีวิต ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ และหมั่นตรวจเลือดอยู่เป็นระยะ ๆ
- ผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นโรคเกาต์ ควรตรวจหาระดับของกรดยูริกในเลือดเป็นระยะ ๆ
- โรคเกาต์เป็นโรคที่ไม่ค่อยเกิดในสัตว์ชนิดอื่น ๆ เนื่องจากพวกมันสามารถผลิตยูริเคสที่ช่วยย่อยสลายกรดยูริกได้เอง ส่วนมนุษย์และวงศ์ลิงใหญ่อื่น ๆ จะไม่มีความสามารถนี้ จึงมักพบโรคนี้ได้อยู่บ่อย ๆ
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคเกาต์ (Gout)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 823-826.
- ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. “โรคเกาต์”. (ผศ.นพ.สุรศักดิ์ นิลกานุวงศ์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th. [22มี.ค. 2016].
- มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 310 คอลัมน์ : เรื่องน่ารู้. “กินอย่างไรเมื่อเป็นโรคเกาต์”. (ผศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [22มี.ค. 2016].
อ้างอิง พระอธิการ นพดล กันตสีโล วัดหนองรั้ว