น้ำสับปะรดปั่น พร้อมวิธีทำง่ายๆ ประโยชน์เพียบ
สวัสดีค่ะเพื่อนๆนักอ่านทุกคน วันนี้ได้มีโอกาสเข้าสวนยางพารา ก็เลยมีโอกาสไปเก็บสับปะรด คิดอยู่นานว่าจะทำเมนูอะไรดีเกี่ยวกับสับปะรด ก็เลยได้เมนูน้ำสับปะรดปั่นขึ้นมา เพราะว่ามีวิตามินซีสูง เพิ่มความสดชื่นให้กับฉันได้ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าว่า วัตถุดิบและขั้นตอนในการทำน้ำสับปะรดปั่นนั้นจะต้องทำอย่างไรมีอะไรบ้าง
วัตถุดิบ
สับปะรดชิ้นเล็ก ๆ 1 ถ้วย
น้ำเชื่อม 1/2 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
เกลือบ่น ปลายช้อนชา
น้ำแข็งบด 5 บาท (แบ่งได้ 3-4 แก้ว)
ขั้นตอนในการทำน้ำสับปะรดปั่น
วิธีในการเลือกสับปะรดที่จะนำมาปั่นนั้น จะต้องเป็นสับปะรดที่สดไม่มีรอยช้ำ
ให้เรานำสับปะรดมาปอกเปลือก โดยเอาตาของสับปะรดออกให้หมดอย่าให้เหลือ ตัดแกนกลางออก แล้วก็หั่นเนื้อให้เป็นชิ้นเล็กๆ
หลังจากนั้นก็นำมาใส่ไว้ในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ แล้วก็ใส่น้ำแข็งบดลงไป ตามด้วยน้ำสะอาดประมาณครึ่งถ้วย น้ำเชื่อมตามใจชอบแต่อย่าใส่เยอะมากเกินไป เกลือป่นเพื่อเป็นการปรุงรสชาติ แค่ปลายช้อนชาเท่านั้น
กดเครื่องปั่นให้ละเอียดตามความต้องการ เราก็จะได้น้ำสับปะรดเทใส่แก้วเอาไว้เสิร์ฟได้เลย รับรองเลยว่าเมนูนี้ ดื่มแล้วจะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเป๋าแข็งแน่นอน
ประโยชน์ของสับปะรด
ช่วยบำรุงผิวพรรณ
โดยในสับปะรดนั้นจึงอุดมประโยชน์ไปด้วยวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะวิตามินซี มีสรรพคุณในเรื่องของการต้านอาการหวัด ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ลดความดันโลหิต
เราสามารถใช้สับปะรดในการทำอาหารคาวอาหารหวานได้มากมายหลายชนิด และเราควรรู้เอาไว้ด้วยว่าการรับประทานสับปะรดมีสรรพคุณช่วยในเรื่องของการลดความดันโลหิตในร่างกายของเราได้ สำหรับคนที่มีปัญหาในเรื่องของความดันแนะนำว่าให้เลือกทานสับปะรดให้ได้เป็นประจำ
สับปะรดทำอะไรได้บ้าง
สับปะรดสามารถนำมาใช้ในการประกอบอาหารได้ อย่างเช่น ผัดเปรี้ยวหวาน แกงกะทิ แกงส้ม ผัดผัก ผัดกุ้ง สารพัดเมนู
อีกทั้งยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นสับปะรดกวน การทำน้ำสับปะรดปั่น การทําพายสับปะรด ทานคู่ขนมปัง
หรือแม้กระทั่งการนำไปหมักกับเนื้อต่างๆเพิ่มความนุ่มและน่ารับประทานมากขึ้น
สับปะรดนั้นหาทานง่ายในทุกพื้นที่ ใครสนใจลองทำเมนูน้ำสับปะรดเพื่อร่างกายของตัวเองก็ลองทำดูนะ อร่อยดีมีประโยชน์อีกด้วย ทำตามสูตรผู้เขียนได้เลย เป็นสูตรง่ายๆใครๆก็ทำได้ อีกทั้งยังประหยัดราคาอีกด้วย
ปล การทานสับปะรดมากเกินไปในแต่ละมื้ออาจจะทำให้เกิดร้อนในในปาก ควรระวังด้วยนะ ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะพอควรก็เพียงพอแล้ว เป็นความรู้ค่ะ
เขียน / เรียบเรียงโดย : Postsod
ไม่อนุญาตให้คัดลอก ทุกกรณี บทความมีลิขสิทธิ์