คน 5 ประเภท ในไม่กี่ปีข้างหน้า จะหางานทำยากขึ้นมาก

0

คน 5 ประเภท ในไม่กี่ปีข้างหน้า จะหางานทำยากขึ้นมาก

การใช้ชีวิตของคนเราในทุกๆวันนั้นย่อมมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต่างกันออกไป ในช่วงของวัยเ ด็ กการเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะต้องใส่ใจและทำให้เต็มที่ ในช่วงวัยทำงานก็ต้องหางานทำดีๆเหมาะสมกับตัวเอง มีความสุขกับการทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงตนเองหาเลี้ยงครอบครัว

ด้วยในยุคปัจจุบันนี้หลายๆอย่างได้มีการเปลี่ยนแปลง ในไม่กี่ปีข้างหน้าหลายๆคนหลายๆงานในหลายหน้าที่ อาจจะต้องถูกแทนที่ด้วยการใช้หุ่นยนต์แทนการใช้คน คนนั้นก็จะถูกเลิกจ้างไป อาจจะ 10 ปี 20 ปีข้างหน้า งานกว่า 50 เปอร์ เซ็นต์ของมนุษย์ที่ปัจจุบันนี้ทำกันอยู่จะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายและลดปัญหาต่างๆได้มาก

คน 5 ประเภท ที่อาจจะอยู่ยาก

1 คนที่ไม่รู้จักวิธีการ ลง ทุน

หลายๆคนได้ถูกสอนมาว่าให้รู้จักประหยัดและรู้จักอดออม เพื่อที่จะมีใช้ในวันข้างหน้า แต่ไม่ค่อยได้สอนให้รู้จักวิธีการหาเงินหารายได้ที่มากขึ้น หากเราได้ใช้เวลา 1 ปีเพื่อที่จะมีเงินเก็บ 1 แสน เท่ากับว่าในระยะเวลา 10 ปีจะมีเงินเก็บ 1 ล้าน แต่แบบนั้นไม่ได้ คุณเป็นคนเก่ง

เพราะว่าจะต้องใช้เวลาถึง 10 ปีเพื่อที่จะมีเงินเก็บ 1 ล้านบาท ในขณะที่คนบางคนหาเงิน 1 ล้านได้ใน 1 ปี เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่งนั่นไม่ใช่การอดออมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นวิธีการในการลงทุนกับตัวเองให้ถูกทางและถูกวิธี

คนบางคนจ่ายเงินเพื่อออกเดินทางเที่ยวรอบโลกเพื่อที่จะได้ไปเห็นโลกที่กว้างมากยิ่งขึ้น ได้เห็นธุรกิจใหม่ๆที่ไม่เคยพบเจอ แล้วก็นำกลับมาต่อยอดทำธุรกิจเป็นของตัวเอ งเงินที่คุณได้ลงทุนไปกับตัวเองนั้นมันจะทำให้คุณได้อะไรกลับมาบ้ า ง

2 คนที่ทำงานกับคนอื่นไม่เป็น

บริษัทต่างชาติแห่งห นึ่ งที่กำลังจะรับสมัครพนักงานและมีผู้มาสมัครงานจำนวน 6 คน ก่อนรับเข้าทำงานทางบริษัทได้ให้เงินไปจำนวน 75 บาทแก่ผู้สมัครงานในครั้งนี้ เพื่อที่จะนำไปซื้อข้าวมากินด้วยกันในงบที่ให้ไป แต่เมื่อไปถึงร้านข้าว ข้าว 1 จานราคาอย่างต่ำก็ 15 บาทแล้วแล้วเงินที่ให้มานั้นไม่พอซื้อข้าวคนละจานได้แน่ๆ พวกเขาจึงกลับไปที่บริษัท ประธานรู้เรื่องกับสายหัวแล้วพูดออกมาว่า ขอโทษด้วยผมรับพวกคุณเข้าทำงานไม่ได้จริงๆ เพราะพวกคุณไม่เหมาะกับบริษัทของเรา

เหตุผลที่มีก็เพราะว่าร้านอาหารนั้นมีโปรซื้อ 5 แถม 1 ซึ่งแต่ละคนไม่มีใครทราบหรือได้อ่านรายละเอืยดต่างๆ มันแสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจ หากได้เข้ามาอยู่ในองค์กรก็คงไม่สามารถที่จะทำงานออกมาได้ดีได้

3 ทำงานแบบเดิมๆ ซ้ำๆ

การทำงานของหลายๆคนชอบการทำงานในแบบซ้ำๆเดิมๆทุกวัน เพราะไม่ต้องคิดอะไรมากมาย เช่น การทำงานแพ็คของ การจัดเรียงสินค้า งานที่อาศัยการจับวางโดยไม่ได้มีการใช้ความคิด การวิเคราะห์หรือการตัดสินใจ เป็นการทำงานแบบหุ่นยนต์

ซึ่งนั่นก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในวันนึงมนุษย์อาจจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ เพราะหุ่นยนต์ไม่เคยหยุดงาน ไม่อู้งาน ไม่ต้องมีเวลาพักทานข้าวหรือเรียกร้องเงินเดือน ปัญหาต่างๆก็จะลดน้อยลงตามลงไปได้มาก

4 เรียนจบ แล้วไม่พัฒนาตนเอง

คนเรานั้นมีเวลาเฉลี่ยในการทำงานวันละ 8 ชม. ซึ่งมีคนที่รู้จักได้ทำงานอยู่ในโกดัง หน้าที่ของเขาก็คือการเช็คจำนวนสินค้าในคลัง ซึ่งเป็นงานที่ง่ายๆโดยที่ไม่ต้องใช้ความคิดหรือทักษะอะไรมาก

การทำงานในปีแรกของเขามีของที่ส่งมาเป็นจำนวนมาก หลังจากเลิกงานเขาใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมเข าค้นพบว่าของบางอย่างเป็นที่ต้องการในตลาดอย่างมาก และด้วยเขาทำงานอยู่ในแว ด ว งนี้ เขาจึงได้หาแหล่งผลิตที่ได้ให้ต้นทุนในราคาที่ถูก จากนั้นเขาก็ได้เริ่มสั่งสินค้ามาข า ย ออน ไลน์ และก็ยังคงทำงานอยู่ในโกดังเหมือนเดิม ผ่ า นไประยะเวลา 3 ปีธุรกิจ ออน ไลน์ของเขาเติบโตอย่างรวดเร็วในเวลา 7 ปี เขาก็สามารถที่จะเปิด กิจการเป็นของตนเองได้

การทำงานนอกเหนือเวลา 8 ชม. ของเขา เขายังมีการเรียนรู้เพิ่มเติม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่แตกต่างกับคนอื่นๆ เขาไม่เคยที่จะหยุดเรียนรู้ จึงทำให้เขามีธุรกิจเป็นของตัวเองทำให้เขาเติบโตและสามารถที่จะไปไกลกว่าคนอื่นๆ

ซึ่งจะมีความต่างจากคนที่ไม่คิดจะพัฒนาตนเอง อยู่กับที่ ทำงานเดิมๆไม่ได้ใช้ความคิดหรือไม่ได้ใช้ทักษะอะไรมากมาย ซึ่งคนเหล่านี้แน่นอนว่าอนาคตข้างหน้าอาจจะถูกแทนที่ด้วยการใช้หุ่นยนต์

5 คิดระยะสั้น ไม่มองระยะยาว

นาย A และ นาย B ได้เข้าไปฝึกงานที่บริษัทแห่งห นึ่ งและเมื่อมีการเรียนจบก็ได้ทำงานในบริษัทนั้นที่ตนฝึกงาน แต่ทางด้านของบริษัทได้เสนอให้ทั้งสองคนไปศึกษาดูงานที่ต่างประเทศเป็นระยะเวลา 2 ปี

โดยได้เงินเดือนเพียงครึ่งเดียวและไม่มีค่าคอมมิชชั่นให้ นาย A รู้สึกว่าได้เงินน้อยเกินไปและยังใช้ชีวิตลำบาก ไม่มีเพื่อน จึงตัดสินใจที่จะไม่ไป ในขณะที่ นาย B ตัดสินใจไปศึกษางานที่ต่างประเทศ เพราะคิดว่าเป็นการหาประสบการณ์ใหม่ๆ

เมื่อระยะเวลาผ่ า นไปเป็นเวลา 2 ปี นาย A ยังคงทำงานที่ตำแหน่งเดิมเงินเดือนขยับขึ้นมานิดหน่อย ในขณะที่นาย B ได้กลับมาทำงานในตำแหน่งหัวหน้าคนใหม่ของบริษัทและมีรายได้หลักแสนต่อเดือน

ในเรื่องนี้ไม่ใช่ว่านาย A ตัดสินใจผิดหรือนาย Bตัดสินใจถูก แต่เป็นการตัดสินใจของทั้งคู่ต่างเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเอง และมีมุมมองความคิดเป็นของตนเอง แต่เมื่อเวลาได้ผ่ า นไปทุกอย่างก็จะเป็นข้อพิสูจน์ว่าการตัดสินใจในอดีตของเราจะพาให้เราก้าวไปข้างหน้าได้มากน้อยแค่ไหนซึ่งขึ้นอยู่กับตัวเรานั่นเอง

เรียบเรียง : postsod

แสดงความคิดเห็น

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่